ในตอนที่แล้วผมได้เกริ่นถึง Luminosity mask และวิธีการสร้าง light and dark mask รวมไปถึงการสร้าง mask ขั้นต่างๆของทั้ง light และ dark ด้วย สามารถติดตามตอนที่ 1 ได้ที่นี่ครับ) ในตอนนี้ผมจะเกริ่นถึงการใช้งาน มีการยกตัวอย่างเทียบว่าเราจะเอาไปมันไปใช้ทำอะไรได้บ้าง อย่างที่ผมบอกไปในตอนที่แล้ว ตัว luminosity mask เองเป็นแค่เครื่องมือที่ทำการ “selection” เท่านั้น แปลว่าเราจะแค่ทำการ “เลือก” ตามความสว่าง หลังจากนั้นเราจะพลิกแพลงใช้งานอะไรต่อ ก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการของผู้ใช้งานครับ ในบทความตอนนี้ผมจะไม่กล่าวถึงขั้นตอนการสร้าง luminosity mask อีกต่อไป ผมจะรวบรัดตัดตอนไปเลย ไม่เช่นนั้นมันจะยาวมากๆ ถ้าใครอยากทบทวนก็กลับไปอ่านตอนที่ 1 นะครับ
ทบทวนกันสักหน่อยครับ ผมจะใช้แถบขาวดำแทนภาพตัวอย่าง น่าจะทำให้จินตนาการช่วงของโทนต่างๆได้ง่ายกว่า ในที่นี้ผมลาก gradient จากดำสุดไปขาวสุด เทียบแล้วก็เหมือนกับโทนทั้งหมดจากค่า 0 ไป 255 ใน histogram
พอผมสร้าง light mask มา 5 ระดับ ก็จะได้อย่างที่เห็น ผมจะใช้สีเหลืองแทนตัว selection นะครับ จะได้ดูต่างจากตัว original และก็แทน light 1 ถึง light 5 ด้วย L1 – L5 ตรงนี้จะสังเกตได้ว่า L1 จะคล้ายๆกับ original เลย
สำหรับโทนมืด ก็จะมีตั้งแต่ Dark 1 – Dark 5 (จะทำมากกว่า 5 ขั้นก็ได้ แต่ 5 ก็ละเอียดมากๆแล้ว) ผมเรียกย่อๆเป็น D1 – D5 นะครับ สีเหลืองจะสลับมาทางซ้าย เพราะส่วนที่ถูกเลือก (สีเหลือง) นั้นอยู่ในส่วนมืดนั่นเอง
สำหรับ midtone นั้นทำได้หลายระดับเช่นกัน เราสามารถเลือก midtone จากแบบแคบ ไปจนถึงกว้างๆ ไล่ตั้งแต่แคบคือ Midtone 1 (M1) ซึ่งแคบสุด ไปถึง Midtone 5 (M5) กว้างสุด อย่างที่ผมเกริ่นไปในตอนที่แล้ว Midtone อันแรก สร้างจากการเลือกทั้งภาพ (select all) แล้วหักลบ L1 และลบ D1 ถ้าผมตั้งเป็นสมการของ M1 ถึง M5 จะได้เป็น (ถ้าใครชอบเรื่อง set ที่เรียนในคณิตศาสตร์ น่าจะชอบ concept นี้นะครับ เพราะมันใช้การจินตนาการเหมือนกันเลย
M1 = All – L1 – D1
M2 = All – L2 – D2
M3 = All – L3 – D3
M4 = All – L4 – D4
M5 = All – L5 – D5
เมื่อเราแสดงผลของ selection แบบ M1 – M5 ด้วยสีเหลือง ก็จะออกมาเป็นแบบนี้ครับ สังเกตได้ว่า M5 มันเหมือนกับการเอาทั้งหมด ลบด้วย L5 และ D5 เลย
เพียงแค่เท่านี้เราก็สามารถเลือกโทนต่างๆในภาพ และนำไปปรับได้ทั้งหมดแล้ว ครบเครื่องดีไหมครับท่านผู้ชม 🙂
บางครั้งเวลาเราสร้าง mask ขึ้นมา และ load selection อาจจะพบหน้าต่างเตือนขึ้นมาว่า selection เราไม่มี pixel ไหนที่มันเยอะกว่า 50% เลยนะ ก็กด ok ไป ไม่มีอะไรครับ เพราะบาง selection อย่างเช่น M1 มันจางเอามากๆ เราอาจจะพบว่าบางทีมันจะไม่ขึ้นเส้นประ แต่มั่นใจว่า selection ของเรายังอยู่แน่นอนครับ เพราะเส้นประมันจะแทนจุดที่มี selection เท่ากับ 50% ซึ่งถ้าน้อยกว่านั้นมันก็จะไม่ขึ้นเส้นประครับ
พอสร้างมาทั้ง 15 luminosity mask บางคนอาจจะคิดว่า เหย สร้างมาทำไมเยอะแยะ เอาไปทำอะไรได้บ้างล่ะ เรามาพูดถึงเรื่องการประยุกต์ใช้กันบ้างดีกว่าครับ
หลายๆคนคงจะเคยได้ยินว่า luminosity mask ใช้สำหรับรวมภาพหลายค่าแสงเพื่อสร้างภาพ HDR ซึ่งอันนี้พูดอีกก็ถูกอีกครับ การทำ HDR อาจจะเป็นการประยุกต์ใช้แบบแรกๆที่นึกถึงกัน เพราะการใช้ luminosity mask ทำให้เราสามารถเลือกความสว่างต่างๆของแต่ละภาพที่เราถ่ายคร่อมมา (bracketing) แล้วเอามารวมกันได้ แต่จริงๆแล้ว HDR นั้นเป็นแค่หนทางการประยุกต์ใช้แค่อย่างเดียวเท่านั้น ยังมีหนทางประยุกต์ใช้ luminosity mask ได้มากกว่าที่คุณคิดครับ ถ้าเราเปิดความคิดให้มากขึ้น ก็สามารถต่อยอดเอาไปทำอะไรหลายๆอย่างได้อีกมากมายครับ
สำหรับการรวมภาพ HDR ผมจะกล่าวสั้นๆครับ เพราะมันไม่ค่อยสำคัญนัก และเดี๋ยวกล้องสมัยนี้ dynamic range ดีมาก ถ่าย raw มาใบเดียวก็แทบจะเก็บได้เหลือเฟือแล้ว ถึงถ่ายคร่อมมา ก็มีโปรแกรมที่ฉลาดและใช้งานง่ายกว่าการมานั่งทำโดยวิธี luminosity mask ซึ่งมันอาจจะเก็บงานได้ละเอียดก็จริง แต่มันต้องทำด้วยมือทุกขั้นตอนเลยทีเดียว ถ้าสมมติผมถ่ายเก็บท้องฟ้า ภูเขา และพื้นดินในหนึ่งเฟรม เก็บมา 3 ค่าแสง รวมทั้งหมด 3 ภาพ มีภาพที่ -3, 0 และ +3 stop โดยภาพที่ +3 นั้นส่วนที่สว่างบนท้องฟ้าก็จะขาวหลุดไป ส่วนภาพที่ -3 นี้ พื้นดินที่อยู่ในเงาก็จะมืดไป ส่วนมากแล้ว ช่างภาพก็จะเลือกเอาส่วนท้องฟ้าจากภาพที่ -3 stop เพราะไม่สว่างเกินไปเมื่อเทียบกับอีกสองภาพ และภาพพื้นดินจาก +3 stop เพราะไม่มืดเกินไป และนำมารวมกับภาพที่วัดแสงพอดีที่ 0 ซึ่งเราก็จะใช้ luminosity mask ในกรณีนี้เพื่อทำ selection ได้ โดยเลือก light mask จากภาพ -3 และเลือก dark mask จากภาพ -3
มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ผมเลือกตัวอย่างมาให้สี่อย่างที่นำไปใช้งานได้จริงและไม่ยากเกินไปครับ สองอันแรกจะไม่ยากมาก แต่สองอันหลังจะงงเล็กน้อย ถ้ามีคำถามก็ถามได้เลยนะครับ หรือถ้าใครมีการประยุกต์ใช้เจ๋งๆมาแนะนำก็ทิ้งไว้ใน comment ได้เลยครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้ไปทั้งหมด มีอะไรใหม่ๆให้ลองเรื่อยๆ และผมเองก็ตื่นเต้นที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆตลอดเวลาครับ 🙂
.
1
ในตัวอย่างแรก เป็นสิ่งที่ผมใช้บ่อยมาก นั่นคือการใช้ luminosity มาเลือกท้องฟ้า และเราก็สามารถเอาไปปรับสี คุมโทนในภายหลังได้ ภาพนี้ตอนถ่าย ผมถ่ายคร่อมมาหลายค่าแสงที่มุมเดิม ไม่ขยับกล้อง แต่ผมเลือกมาหนึ่งอันที่อยู่ตรงกลางๆนะครับ
ในภาพนี้ ผมอยากทำท้องฟ้าให้มืดลง และอัดโทนเหลืองส้มเข้าไปหน่อย แต่ผมจะทำไม่ได้ดีเลยถ้าผมไม่เลือกแค่ท้องฟ้าอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นการปรับสีก็จะมีผลไปทั้งภาพ ทำให้ต้นไม้ แม่น้ำ และภูเขาติดส้มไปด้วย
step การทำของผมเป็นดังนี้ครับ
- จากภาพต้นฉบับ (ภาพแรกทางซ้ายสุด) ทำ light selection ออกมาหลายๆแบบ ดูว่าแบบไหนดูดีที่สุด
- ในที่นี้ผมเลือก Light 2 เพราะตัวภูเขาเป็นสีดำ (ไม่ถูกเลือก) และท้องฟ้าตรงรอยต่อนั้นมีสีขาวบ้าง (ดูในภาพที่สอง)
- ในภาพที่สามนี้ผมกดไปที่ Light 2 ที่ผมทำขึ้นมา มันก็จะโชว์ภาพขาวดำซึ่งแสดง selection ของ light 2 ตรงนี้สำคัญครับ เพราะจากตรงนี้ผมก็ใช้ brush สีดำทาลงไปตรงด้านล่างทั้งหมดก่อน เพื่อให้ไม่ถูกเลือกเลย (ถ้าไม่ทาสีดำ จะมีโทนเทาอยู่ตรงลำธารเพราะมันมีความสว่างอยู่นิดๆ)
- จากนั้นผมก็เร่ง brightness ขึ้น โดยทำบน selection ชื่อ Light 2 ทำให้ส่วนของท้องฟ้าที่ขาวอยู่แล้ว ให้ขาวใกล้เคียงขาว 100% ซึ่งก็คือถูกเลือก 100%และดัน contrast ขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้รอยต่อของท้องฟ้าและภูเขามันชัดเจนมากขึ้น แต่อย่าดันเยอะมากนะครับ และในท้ายสุดผมก็เติมสีขาวลงไปที่ท้องฟ้า ซึ่งทำได้ไม่ยากแล้วเพราะหลังจากเราเร่ง brightness มันก็เป็นสีขาวเกือบหมด ด้วยวิธีนี้ ผมสามารถเลือกท้องฟ้า และเก็บรายละเอียดได้ มีรอยต่อที่ชัดเจน มีรายละเอียดทั้งภูเขาหยักๆด้านซ้าย และต้นไม้ทางด้านขวา ถ้าเราใช้วิธีเดิมๆ โดยใช้บรัชธรรมดาลากๆเพื่อทำ selection จะไม่สามารถเก็บงานได้ละเอียดแบบนี้โดยใช้เวลาแค่ไม่ถึงห้านาทีแน่นอนครับ การที่ผมทาสีขาวและสีดำนี้จะไม่มีผลกับภาพต้นฉบับ เพราะผมปรับแต่งอยู่ใน channel ชื่อ light 2 ที่ผมสร้างไว้ ซึ่งเป็น selection layer
- จากนั้นก็สร้าง mask ออกมา แล้วปรับสีของท้องฟ้า ลดความสว่างลง และทั้งหมดนี้ ส่วนของภูเขา ลำธาร และต้นไม้ด้านล่างยังเหมือนเดิมเป๊ะ
ต้นฉบับ –> เลือก light 2 –> ลงสีขาวและสีดำเพื่อให้เป็น 100% selection บนท้องฟ้า –> ปรับสีตามใจชอบ มีผลแค่ท้องฟ้า
สามารถคลิกเพื่อดูภาพใหญ่ได้ครับ
นี่เป็นวิธีนึงที่เราสามารถนำการ luminosity selection ไปทำการเลือกเฉพาะส่วน ซึ่งในตัวอย่างนี้ผมเลือกท้องฟ้า โดยที่ยังเก็บรายละเอียดตรงรอยต่อได้เนียน ลองเทียบดูกับภาพ crop 100% ที่ผม crop มาจากภาพทางขวาสุด (ภาพที่ปรับท้องฟ้าแล้ว) เทียบกับภาพต้นฉบับ ลองดูได้ครับ
ใบนี้ crop มาจากกลางภาพ ภูเขาหยักๆทั้งหมดไม่เป็นปัญหาเลย ด้วย luminosity selection สามารถเลือกได้เนียนครับ (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพเต็ม)
และที่น่าประทับใจมากๆคือต้นไม้ทางขวา เรียกได้ว่า selection นี้เลือกมาเป็นใบๆเลยทีเดียว (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพเต็ม)
สรุปแล้ว การใช้ luminosity selection ทำให้เราเก็บรายละเอียดในการ selection ได้สมบูรณ์แบบ หมดห่วงเรื่องขอบขาว หรือการลาก gradient ทำให้ภูเขาสว่างครึ่ง ดำครึ่งอีกต่อไป เมื่อสร้าง luminosity selection แล้วเราสามารถไปละเลงกับ selection mask ได้อีก และนำเอา selection ไปควบคุมการปรับภาพต่างๆได้มากมายไม่รู้จบครับ
.
2
ตัวอย่างถัดมาก็คล้ายๆกับตัวอย่างแรกครับ แต่ง่ายกว่ามาก ตัวอย่างนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก clip ของ Joshua Cripps ครับ ผมเอามาสรุปให้เป็นภาษาไทยน่าจะง่ายขึ้น กล่าวคือ เมื่อมีภาพต้นฉบับดังภาพด้านล่างนี้ ถ้าเราต้องการที่จะทำให้เมฆเด่นขึ้น หนทางนึงก็คือใช้การเร่ง contrast ครับ
ปกติเวลาผมดันคอนทราสต์ ผมจะเลือกเครื่องมือ curve แล้วดันให้เป็นตัว S ครับ (S-curve) เลือกสองจุด จุดทาง highlight ดันขึ้น ส่วนอีกจุดตรง shadow ก็ดันลง แต่ถ้าดันเยอะมากเกินไป contrast จะหนักจนดูไม่สบายตา ตรงนี้ก็ปรับเอาตามใจชอบได้ครับ ซึ่งในการปรับ curve ในที่นี้ผมเลือกมาเป็น adjustment layer ครับ ใครจะใช้เครื่องมือ brightness/contrast ก็ได้นะครับ แต่ผมชอบการปรับจาก histogram มากกว่า เพราะเรามองเห็นโทนในภาพด้วยว่าส่วนหลักๆของกราฟมันอยู่ตรงไหน
เมื่อดูจากภาพด้านบนนี้ ซึ่งเป็นภาพที่ผ่านการปรับ curve ดังข้างต้น แม้ว่าตรงเมฆนั้นเราจะได้ contrast ที่ดูกำลังพอดี แต่พอเรามาดูเข้าจริงๆ พบว่าการปรับ curve นั้นมีผลทั้งภาพ และส่วนของเงาในภาพนั้นถูกกดจมมิดให้มืดจนเกินไป เรียกได้ว่า contrast หนักจนน่าเกลียด เราแทบไม่เห็นรายละเอียดของภูเขาและต้นไม้เลย นั้นเป็นเพราะ contrast มันมากจนเกินไปนั่นเอง
ลองมาดูวิธี luminosity mask กันบ้างครับ
หนทางแก้หนึ่ง ถ้าเราต้องการเก็บ contrast ไว้ที่เมฆ แต่บริเวณอื่นๆในภาพให้คงไว้เช่นเดิม การใช้ luminosity mask เป็นทางเลือกที่ดี เหตุผลก็เพราะในภาพนี้ ตัวเมฆนั้นมีความสว่างมากๆเมื่อเทียบกับบรรยากาศโดยรอบ
ภาพด้านบนนี้แสดง highlight mask ขั้นแรก เมื่อผมทำ highlight mask ขั้นที่ 1 (light 1) จึงเพียงพอที่จะ select แค่เมฆ และไม่เอาภูเขาหรือต้นไม้ที่มืดกว่า ส่วนท้องฟ้านั้นเป็นสีเทาใน mask นั่นแปลว่าก็จะติด contrast มานิดหน่อย แต่ไม่เยอะเท่าเมฆ ทั้งนี้ทั้งนั้นผมจะทาสีดำลงไปในด้านล่างของ light 1 mask (ตามภาพ) เพื่อไม่ให้การปรับ contrast นั้นมามีผลกับลำธารด้านล่างด้วยนั่นเองครับ และเมื่อผม load selection ของ light 1 นี้ขึ้นมา และทำการสร้าง adjustment layer ก็จะได้การปรับ contrast แบบ S-curve ที่มีผลเฉพาะเมฆเท่านั้นครับ
ภาพก่อนหน้า (ไม่มี luminosity mask) และภาพด้านบนนี้ (มี luminosity mask) ผมใช้การปรับ curve ที่เท่ากันเป๊ะๆเลยครับ ฉะนั้นการใช้ luminosity mask ทำให้เราโฟกัสการปรับภาพไปที่โทนต่างๆที่เราต้องการได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเทียบกับทั้งสามแบบ ทางซ้ายมือคือภาพต้นฉบับ ภาพกลางคือการปรับ S-curve โดยที่ไม่ได้ทำ luminosity mask ส่วนภาพขวาคือการใช้ luminosity mask ก่อนแล้วค่อยทำ S-curve จะสังเกตว่าเราจะได้ contrast ของเมฆที่สวยงามขึ้น แต่ภาพที่ใช้ luminosity mask จะทำให้เราคงความสว่างและโทนจากภาพต้นฉบับไว้ได้
ลองเอาไปใช้ดูนะครับ ผมว่ามันเจ๋งและใช้ง่ายมากๆเลย เพราะส่วนมากเมฆจะเป็นสีขาว และขาวกว่าส่วนอื่นๆในภาพอยู่แล้ว
.
3
ตัวอย่างทีสามนี้ ผมจะกล่าวถึงการประยุกต์ใช้ luminosity selection เพื่อสร้าง zone mask ครับ
zone mask คืออะไร???
มันก็คล้ายกับ zone system ที่คิดค้นโดยช่างภาพชื่อดัง Ansel Adams นั่นเองครับ ผมเองก็ไม่ได้เรียนเรื่อง zone system มาตรงๆนะครับ หัดเอาตามครูพักลักจำ ตามความเข้าใจของผม zone system นี้ก็จะแบ่งโทนของภาพออกเป็นหลายๆโซน เรียงตั้งแต่มืดสุดไปสว่างสุด ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการวัดแสง
แต่ในที่นี้ เราจะประยุกต์ใช้ luminosity mask และแปลงมันเป็น zone system mask เพื่อควบคุมความสว่างของภาพในโซนต่างๆครับ
กลับไปที่แผนภาพที่ผมให้ดูด้านบนสุด ถ้าผมสร้าง light mask มา 5 อัน และ dark mask อีก 5 อัน เมื่อเราสร้าง zone mask ขึ้นมา ท้ายที่สุดแล้วเราจะได้ทั้งหมด 11 โซน ในสิบเอ็ดโซนนี้มีอะไรบ้าง ก็ไล่ตั้งแต่มืดสุด ซึ่งแน่นอนว่ามืดสุดต้องเป็น dark 5 (shadow ที่มืดมากๆ) ไล่ไปจนถึงสว่างสุด ซึ่งก็คือ light 5 (โคตรของโคตรสว่าง) และมีตรงกลางคือ midtone
แผนภาพนี้อาจจะไม่ตรงตามจริงนะครับ เพราะการทำ zone mask เราจะไม่ได้การแบ่งช่องไฟที่เท่ากันเป๊ะๆขนาดนี้ ผมแบ่งให้เท่ากันจะได้เข้าใจง่ายขึ้นครับ
จากแผนภาพนี้ ผมจะกดหนดให้ว่า zone 0 คือมืดสุด (dark 5) และ zone 10 คือสว่างสุด (light 5) ซึ่งก็สร้างสองโซนนี้ได้ไม่ยาก เพราะผมได้แสดงวิธีการสร้าง light 1 – light 5 และ dark 1 – dark 5 ไปใน blog ตอนที่แล้ว แต่ zone 1-9 ล่ะ เราจะสร้างมันยังไง คำตอบก็คือ ใช้การหักลบ luminosity mask นั่นเองครับ ถ้ายังจำได้ ผมได้กล่าวถึงการหักลบ selection โดยใช้คีย์ ctrl + alt โดยเริ่มจากการโหลด selection แรกก่อน แล้วกด ctrl + alt ค้างไว้ แล้วคลิก selection ที่เราต้องการจะเอามาหักลบ ก็จะได้ผลต่างแล้วครับ
ตัวอย่างเช่น ถ้าผมอยากได้ zone 9 ผมก็จะใช้ light 4 หักลบด้วย light 5 ดังภาพ เพราะ light 4 จะกินเนื้อที่กว่างกว่า light 5 ซึ่งกินอยู่ในส่วนแคบๆทางด้านสว่าง (zone 10) เพราะ light 5 นั้นโฟกัสอยู่ที่ส่วนสว่างมากๆนั่นเอง
เมื่อเราเอา light 5 หักออกจาก light 4 (หรือ L4 – L5) เราก็จะได้ zone 9 ครับ แหล่มเลย
ถ้าใครถนัดคณิตศาสตร์หน่อย ก็จะประมวลผลออกมาได้ว่า ด้วยการหักลบ selection เราก็จะได้ zone ทั้งหมดครับ
zone 0 = D5
zone 1 = D4 – D5
zone 2 = D3 -D4
zone 3 = D2 – D3
zone 4 = D1 – D2
zone 5 = midtone หรือ All – D1 – L1
zone 6 = L1 – L2
zone 7 = L2 – L3
zone 8 = L3 – L4
zone 9 = L4 – L5
zone 10 = L5
มาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า แบ่งโซนแบบนี้แล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร มันต่างจาก luminosity mask แบบขั้นต่างๆ (light 1-5 และ dark 1-5) อย่างไร ก็ต้องบอกว่า ต่างกันครับ เพราะ luminosity หลายๆขั้นนั้นจะ overlap กัน โดยที่ mask ขั้นสูงๆนั้นจะชิดไปทางขอบของโทนมืดๆ หรือของของโทนสว่างมากๆ อย่างเช่น light 1 ก็จะทำให้เราเลือกตั้งแต่เทาไปจนถึงสว่างสุด และ light 5 เราก็จะเลือกแต่สว่างสุดอย่างเดียว ฉะนั้นส่วนที่เลือกของ light 1 และ light 5 มันจะทับซ้อนกันด้วย สองอันนี้ต่างกันแค่ light 5 จะมีส่วนที่เลือกแคบกว่า โฟกัสไปแค่ส่วนที่สว่างสุดๆๆๆ
แต่ zone mask นั้นทำให้เราเลือกโทนไหนก็ได้ในภาพ จะเอาโทนมืดสุด โทนมืดน้อย โทนตรงกลาง โทนสว่างมากแต่ไม่สว่างสุด หรือแม้แต่โทนสว่างสุด แล้วแต่เราจะเลือก zone เลยครับ และทั้ง 11 โซน ก็จะไม่ทับซ้อนกันเลย
และถ้าเราสร้าง zone mask ออกมาทั้งหมดแล้ว เราสามารถสร้าง selection ที่รวมสองโซนหรือมากกว่าได้ด้วย ก็ใช้คีย์ ctrl + shift เพื่อรวม selection เราก็จะได้การ selection ที่มากกว่าหนึ่งโซนครับ
ภาพตัวอย่างด้านบนนี้ผมถ่ายที่ death valley ครับ เป็นภาพที่มีลายเป็นวงขาวๆของเกลือ และรอบๆวงนี้จะมืดกว่าเพราะเป็นดินโคลน ผมอยากปรับภาพโดยให้วงขาวๆนี้สว่างขึ้น และตรงดินโคลนรอบๆมืดลง ทำให้รอยวงๆนี้ดูเด่นขึ้น คล้ายกับการเร่ง contrast แต่เราไม่ได้ต้องการให้ contrast โดยรวมของภาพสูงขึ้น ฉะนั้นเราจะไม่ใช้เมนู contrast ครับ
การใช้ luminosity mask แบบขั้นต่างๆ (เลือก light 1 – 5 หรือ dark 1 – 5) นั้นไม่สามารถทำให้เราสร้าง selection เฉพาะความสว่างต่างๆได้ครอบคลุมเหมือนทำเป็น zone
เมื่อผมกดสร้าง zone ทั้งหมด 11 โซนจากภาพนี้ ก็จะได้ดังภาพครับ
(คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ได้ครับ)
โทนจะไล่ตั้งแต่มืดสุดใน zone 0 ทางซ้าย ซึ่งส่วนที่ถูกเลือกคือบริเวณภูเขา และตรงโทนดำๆด้านล่าง (ส่วนที่ถูกเลือกคือสีขาวนะครับ ถ้าเป็นสีเทาก็คือถูกเลือกไม่ถึง 100%) และเมื่อดู zone 8-10 จะเห็นว่าส่วนที่ถูกเลือกจะเหลือแค่ท้องฟ้าขาวๆเท่านั้น โดยเฉพาะ zone 10 จะเลือกแค่ส่วนที่สว่างที่สุดของท้องฟ้า
จากตรงนี้ผมทำตามขั้นตอนนี้ครับ
- จากภาพบน ผมก็เลือกๆดูก่อนว่าจะเอาโซนไหนดีมาปรับ
- ผมเลือก zone 2 เป็นตัวแทนของโทนดำที่ดินโคลนรอบๆผมโหลด selection ของ zone 2 มา แล้วสร้าง mask กับ curve adjustment layer แล้วดัน curve ลงให้มืด
- และ zone 6 เป็นตัวแทนของโทนขาวของวงเกลือ ส่วน zone 6 ก็ดันให้สว่างขึ้น โดยการ load selection แล้วสร้าง curve เช่นกัน (แยกเป็นคนละ adjustment กับ zone 2)
ภาพทางซ้ายสุดคือภาพต้นฉบับ ถัดมาคือ zone 2 และ zone 6 selection โดยทำการ mask ภูเขาและท้องฟ้าออกเพื่อให้เหลือผลแค่ลายวงเกลือ และสุดท้ายคือภาพหลังปรับ curve กับ zone 2 & 6 ตามลำดับครับ เราจะได้ภาพที่วงเกลือเด่นขึ้นมาก โดยที่เราไม่ต้องไปยุ่งกับคอนทราสต์ของภาพเลย
นอกจากนี้ผมใช้ mask เพิ่มเติมเพื่อให้ผลของมันมีแค่ลายที่พื้นเท่านั้น ไม่มีผลกับท้องฟ้าและภูเขาครับ
เมื่อเทียบกันระหว่างภาพที่ดันคอนทราสต์จริงๆในภาพทางขวาดสุด ภาพขวานี้ผมใช้ contrast บวกกับการดัน clarity ซึ่งก็ดันไปเยอะมากๆ กว่าจะได้ภาพที่คล้ายกัน (เทียบกัน ภาพซ้ายคือภาพต้นฉบับ ภาพกลางใช้ tone mask และภาพขวาใช้ contrast ดันแบบสุดๆ) และเราก็จะเห็นว่าถ้าดูแค่ลายเกลือด้านล่าง ภาพที่ใช้ zone mask ได้ภาพที่มีลวดลายชัดเจนขึ้น (ไม่นับท้องฟ้านะครับ เพราะแบบที่ 3 ผมไม่ได้ mask ท้องฟ้าออก) แต่คอนทราสต์ไม่พุ่งขึ้นมากเท่ากับการปรับคอนทราสต์จริงๆ มาถึง ณ จุดนี้ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านล่ะครับว่าชอบภาพสไตล์ไหน โดยส่วนตัวแล้วผมเองไม่ชอบที่จะดัน contrast ให้ดุมากเกินไป
โดยสรุป การใช้ zone mask หรือ zone selection ทำให้เรามีลูกเล่นในการควบคุมโทนต่างๆในภาพได้ง่ายมากขึ้น การทำ selection ที่จำเพาะกับโทนมืด โทนสว่างสามารถเลือกได้จากโซนทั้ง 11 โซน และการประยุกต์ใช้งานก็ขึ้นกับช่างภาพว่าจะต้องการปรับอะไรต่อหลังจากการทำ selection ในตัวอย่างนี้ผมใช้การปรับ curve อย่างง่ายๆเพื่อดึงให้รายละเอียดเฉพาะของวงเกลือดูเด่นขึ้นมา
และนี่ก็เป็นภาพตัวอย่างอีกภาพที่ผมใช้วิธี zone mask เหมือนกันครับ ดึงวงเกลือให้ขาวขึ้น และดันส่วนที่เหลือให้มืดลง
ถ้าไม่อยากนั่งสร้าง zone mask ด้วยตัวเอง action ของ Tony Kuyper ทำปุ่มลัดไว้ให้ครับ สามารถโหลดได้ที่ TK actions ครับ ผมคิดว่า zone mask นี้ไม่มีให้ใช้ใน free action ของอีกสองเจ้าที่ผมพูดถึงใน blog ตอนที่แล้วครับ
.
4
อย่างสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ color mask ครับ อันนี้จะใช้หลักการคล้ายกับ luminosity mask แต่ luminosity mask นั้นเลือกทุกแสง นั่นคือถ้าเราใช้โหมด RGB ก็จะมีทั้งแสงสีแดง เขียว น้ำเงิน เมื่อแสงสามสีรวมกันก็คือสีขาวนั่นเอง แต่เราสามารถเลือกที่จะสร้าง luminosity mask กับสีต่างๆ ผมจะเรียกให้เป็น mask ของแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงินได้ด้วย
ผมมีภาพตัวอย่างมาสาธิต ภาพนี้มีทั้งโทนแดง เขียว และน้ำเงิน โดยโทนแดงจะอยู่ที่แสงสีส้มตามภูเขาด้านซ้าย และลูกตรงกลาง สีเขียวก็อยู่ที่พุ่มไม้ทั้งหมดในภาพ ส่วนสีน้ำเงินอยู่บนท้องฟ้า และส่วนเงาตามภูเขา จริงๆแล้วสีน้ำเงินแทบจะอยู่ในทุกจุดที่เป็นเงาในภาพเลยครับ เพราะผมใช้ White balance ราวๆ 5000k ซึ่งอะไรที่อยู่ในเงาจะอมฟ้าเกือบหมด
วิธีการสร้าง color mask ก็ไม่ยากเลยครับ เหมือนกับการสร้าง luminosity mask เป๊ะ ให้กด ctrl ค้างไว้ แล้วคลิกที่ Red เพื่อสร้าง mask สีแดง หรือคลิกที่ green เพื่อสร้าง mask สีเขียว หรือกดที่ blue เพื่อสร้าง mask สีฟ้า ในขณะที่ถ้าเราจะสร้าง luminosity mask เราต้องกดที่ RGB นั่นเป็นเพราะเราต้องการข้อมูลแสงทั้งสามสี เพื่อพิจารณาการสร้าง luminosity ซึ่งอ้างอิงจากสีขาวนั่นเองครับ
เมื่อเรากดสร้าง color mask ขั้นแรก เช่น red 1 แล้ว ก็ให้กด save ไว้ จากนั้นเราสามารถสร้าง color mask ระดับสูงขึ้นได้ วิธีการเหมือนกับ luminosity mask เลยครับ ก็คือใช้การกดสามปุ่ม ctrl + alt + shift ค้างไว้พร้อมกันแล้วคลิกที่ red 1 ที่เราเซฟไว้ ก็จะได้ red 2 เมื่อทำซ้ำอีก ก็จะได้ red 3 ในตัวอย่างนี้ผมจะสาธิตการสร้างแค่ 3 ระดับนะครับ
และเราก็สามารถทำวิธีเดียวกัน เพื่อสร้าง color mask สีเขียวทั้งหมด (green 1, green 2, green 3) และ color mask สีน้ำเงินทั้งหมด (blue 1, blue 2, blue 3)
และเมื่อผมทำ mask ทั้งเก้าอันออกมาเรียงกันก็จะได้แบบนี้ครับ แถวซ้ายคือสีแดง แถวกลางสีเขียว และแถวขวาสุดสีน้ำเงิน จากบนลงล่างคือระดับ 1 2 และ 3 ตามลำดับ
เมื่อเราดูแต่ละสีในแต่ละระดับขั้น จะเห็นได้ชัดเจนมากว่า selection (ส่วนสีขาว) จะอยู่ตามบริเวณสีนั้นๆในภาพ เช่นสีแดง ก็จะอยู่ตรงภูเขา สีเขียวอยู่ตรงพุ่มไม้ด้านหน้า และสีฟ้าอยู่บนท้องฟ้าทั้งหมด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้ color mask ไม่ว่าเราจะเลือกสร้าง mask สีอะไรก็ตาม สีขาวของภาพจะติดมาด้วย เพราะแสงสีขาวประกอบไปด้วยแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ฉะนั้นเราจะเห็นว่าหิมะ และเมฆสีขาวในภาพต้นฉบับก็จะติดไปอยู่ในทุกๆ color mask ด้วยนั่นเอง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ถ้าเราไม่อยากได้ selection ตรงนี้ เราก็แค่เอาสีดำทาลงไปในบริเวณนั้น เพื่อให้ selection เหลือ 0% ครับ
เมื่อ luminosity mask มี shadow mask ซึ่งตรงข้ามกับ highlight mask ทำนองเดียวกัน color mask เราก็สามารถสร้างสีตรงข้ามได้ครับ
- สีแดง (red) จะตรงข้ามกับสีฟ้า (cyan) เมื่อเรา inverse selection ของ red1 เราจะได้ cyan1 และเมื่อทำ selection ระดับสูงขึ้น เราก็จะได้ cyan2 และ cyan3
- สีเขียว (green) ตรงข้ามกับสีม่วง (magenta) และเราสามารถสร้าง magenta1, magenta2, magenta3 ได้จากการ inverse และสร้าง mask ระดับออกมา
- สีน้ำเงิน (blue) ตรงข้ามกับสีเหลือง (yellow) เมื่อเราอยากได้ yellow mask ก็ใช้วิธีการเดียวกันครับ
ฉะนั้นถ้าเราทำ color mask ทั้ง 3 ระดับ ของ 6 สี ก็จะได้ color mask สมบูรณ์แบบทั้ง 18 อย่าง
เรียกได้ว่าสร้างทั้ง luminosity mask, zone mask และ color mask เราก็จะเป็นเหมือนพระเจ้าผู้อยู่เหนือโทนและสีทั้งปวง (เวอร์ไป 55555) ควบคุม และทำการเลือกได้ทุกอย่างครับ ตอนที่ผมอ่านบทความของ Tony ผมนี่ร้องเหยดเลย อะไรมันจะเทพขนาดนี้ 5555 มันประหนึ่งร้านข้าวแกง อยากกินอะไรก็ชี้สั่งได้ อยากได้ข้าวสวยเปล่งปลั่งสะท้อนแสง แกง “เขียว” หวานใส่จานสีดำ ใส่ไข่ยางมะตูมสี “แดง” สด และน้ำอัญชันสี “ฟ้า” เข้ม ก็จิ้มๆเอาเลย 55
นอกจากนี้ ถ้าเราไม่ใช่ color mask ก็ยังวิธีที่คล้ายกันคือการใช้เครื่องมือ color range selection อยู่ในเมนู select –> color range ซึ่งเราสามารถเลือกสีได้เลยว่าอยากได้สีไหนถูกเลือกขึ้นมา และเราก็สามารถ save selection นั้นได้เช่นกัน มี fuzziness ไว้ปรับความแรงของการ selection ว่าจะจำเพาะมากน้อยแค่ไหน
ผมลองเทียบกันให้ดูแบบจับคู่มวยเลยว่าเป็นอย่างไร ภาพซ้ายคือ color mask สีแดงแบบขั้นที่ 3 (red 3) ซึ่งก็จะโฟกัสที่แสงสีแดงหนักที่สุดในภาพ ส่วนภาพทางขวา ผมดัน fuzziness ไปเต็มสุดทางขวา เพื่อให้มี selection มากที่สุด ถ้าเราปรับ fuzziness น้อยๆ มันก็จะเลือกเฉพาะสีที่เรากำหนดเป๊ะๆเท่านั้น ไม่เลือกสีใกล้เคียงเลย ซึ่งสีที่ตรงเป๊ะๆอาจจะมีแค่ไม่กี่ pixel
เทียบกันแล้ว ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า color mask ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วน color range selection นั้นจะดูหยาบหน่อย ดูไม่ค่อยนุ่มนวลเหมือนแสงจริงๆ แต่ว่า color range จะไม่เลือกสีขาวบนท้องฟ้าติดมาด้วยเหมือนกับ color mask (อย่าลืมว่าสีขาวก็เกิดจากสีแดงรวมกับสองสีที่เหลือนะครับ) ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดีของ color range ครับ ท่านผุ้อ่านอยากใช้เครื่องมือตัวไหนก็พิจารณาเลือกได้ตามใจชอบนะครับ
สำหรับนำไปใช้งานต่อ ก็อยู่ที่ช่างภาพจะไปต่อยอดกันเองนะครับ ตัวอย่างง่ายๆคือ เราสามารถเลือกโทนแดง และปรับเฉพาะโทนแดง หรือเปลี่ยนมันเป็นสีอื่นๆก็ยังได้ หรือสีฟ้าบนท้องฟ้าสว่างไป เราอยากทำให้มืดลง ก็ทำได้เช่นกัน โดยเลือกเฉพาะ blue color mask
จากขั้นตอนที่ผมกล่าวมายืดยาว ในการสร้าง color mask เราสามารถทำ action เก็บขั้นตอนทุกอย่างไว้ได้ แต่ถ้าใครไม่อยากเสียเวลาทำ action แล้ว color mask สามารถสร้างได้จากการคลิกเพียงครั้งเดียวเสร็จ หากใครสนใจสามารถดูได้จาก TK action เจ้าเดิมครับ ขออภัยที่ผมโฆษณาบ่อยเพราะของเขาดีจริงๆ 555 ผมจ่ายเงินซื้อ TK action ผมว่าผมใช้คุ้มกว่าซื้อซอฟต์แวร์แต่งภาพตัวอื่นๆมากมายครับ (ที่ไม่ใช่ photoshop) ส่วนมากแล้ว action ของฟรีจะมีแค่ luminosity mask เท่านั้น
หน้าตาของ TK action panel อยู่ในภาพด้านล่างนี้ครับ
TK นั้นมีทุกอย่างตั้งแต่ luminosity mask จะกด selection แล้วให้ออกมาเป็น curve หรือ level adjustment layer เลยก็ยังได้ และยังสามารถสร้าง zone mask ได้ สร้าง color mask นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือย่อยๆอีกมากมายที่ผมเองไม่ได้พูดถึง (และผมเองก็ยังศึกษาไม่หมด) เช่น saturation mask, dodge burn layer, orton, web sharpening เรียกได้ว่าเยอะจนตาลายเลยจริงๆ หากสนใจรายละเอียดว่าแต่ละอันคืออะไร สามารถอ่านได้ที่หน้าเวบของ Tony ครับ
และเรื่องราวของ Luminosity Mask ของผมก็มีเพียงเท่านี้ครับ อย่าลืมครับว่า Luminosity mask มันเป็นแค่เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการ selection และ masking เท่านั้น ข้อดีคือมันทำให้เราทำ selection ได้ละเอียดมากๆ ดังที่ผมแสดงให้ดูในการเลือกท้องฟ้าแยกออกจากภูเขาและต้นไม้ และการประยุกต์ใช้ มันไม่ได้มีแค่การรวมภาพ HDR เท่านั้น การนำไปใช้งานก็ขึ้นกับจินตนาการของช่างภาพเลยว่าจะกว้างไกลขนาดไหน เราสามารถสร้าง 15 luminosity masks, 11 zone masks, และ 18 color masks แล้วสร้างลูกเล่น จะเอา mask มารวมกัน จะหักลบหักล้าง คิดออกมาแล้วสามารถพลิกแพลงสร้างคอมโบได้ไม่รู้จบ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองโทนต่างในภาพให้ออก ก่อนที่จะเริ่มทำ luminosity selection มันสำคัญมากจริงๆครับ เพราะจะทำให้เรามองทิศทางออกว่าเราจะทำภาพอย่างไร เลือกโทนไหนถึงจะสร้าง selection ในบริเวณที่เราต้องการ จะทำ luminosity mask แบบธรรมดา หรือจะเล่น zone mask, color mask เพื่อไปถึงจุดนั้น
จินตนาการนั้นสำคัญมากๆตอนอยู่หลังกล้อง มันมีผลต่อมุมมอง องค์ประกอบ การวัดแสง ตลอดจนถึงอารมณ์ในภาพ
และจินตนาการตอนแต่งภาพก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
หากใครอยากให้ผมเสริมอะไรตรงไหนก็บอกได้นะครับ ขอให้สนุกกับการทำภาพครับ 🙂
You must be logged in to post a comment.