ผมเพิ่งกลับจาก Lofoten สดๆร้อนๆ และด้วยความประทับใจในสถานที่ ผมอยากเขียน blog ทันที ในตอนที่ความรู้สึกฟินๆมันยังอยู่ครับ ยอมรับว่าไปถ่ายภาพ landscape มาหลายที่ทั่วโลก Lofoten เป็นที่ๆสวยติดอันดับต้นๆในใจผมเลย ใน blog ตอนนี้นอกจากจะเน้นเรื่องจุดถ่ายภาพแล้วผมก็จะให้ข้อมูลการเดินทางไว้ด้วยครับ
อัพเดต สิงหาคม 2018 และ blog นี้เป็นแค่ข้อมูลคร่าวๆ สำหรับข้อมูลเชิงลึก สามารถหาอ่านได้จาก ebook ของผมครับ
Lofoten คืออะไร มีอะไรน่าสนใจ
Lofoten เป็นหมู่เกาะที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์ที่ยื่นออกมาจากแผ่นดินใหญ่ของประเทศ เต็มไปด้วยภูเขารูปร่างสวยงามตั้งตระหง่านริมทะเล landscape ที่นี่สวยขาดใจ แค่ได้ขับรถรอบๆก็ฟินแล้ว สำหรับใน blog นี้ผมจะเน้นแค่เกาะ Moskenesøya (ที่ตั้งเมือง Reine และ Å), Flakstadøya, และ Vestvågøy (ที่ตั้งเมือง Leknes)
ฤดูกาล
ช่วงหน้าร้อนของ Lofoten จะเป็นช่วง high season และมีกิจกรรมเยอะมาก ทั้งปีนเขา ดูปลาวาฬ พายคายัค ออกไปตกปลา และจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ไม่ลับขอบฟ้าเลย เรียกว่าพระอาทิตย์เที่ยงคืนนั่นเอง เพราะว่า Lofoten ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เลยเส้น Arctic Circle (66′ 33” โดยประมาณ) มานิดหน่อย ฉะนั้นช่วงเวลากลางวันกับกลางคืนในรอบหนึ่งปีจะแกว่างมาก ทิศทางของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ก็แกว่งมากๆไปตามฤดูกาลเช่นกัน ถ้ามาหน้าร้อนกับหน้าหนาวก็จะได้ทิศทางแสงที่ไม่เหมือนกันเลย เรียกได้ว่าอาจจะตรงข้ามกัน หน้าร้อนพระอาทิตย์ขึ้นด้านหลังภูเขา แต่หน้าหนาวขึ้นทางด้านหน้าภูเขา เป็นต้น
ในหน้าหนาวจะเป็นช่วง Low season มากๆของเกาะนี้ ร้านค้าต่างๆ รวมไปถึง gift shop ร้านอาหาร ร้านกาแฟ แทบจะปิดหมด เพราะไม่ค่อยมีลูกค้า หน้าหนาวก็อากาศค่อน้างหนาวทีเดียว แต่ไม่หนาวเท่ากับบริเวณ inland อย่างเช่น รัสเซีย หรือฟินแลนด์ เพราะที่นี่ติดทะเล มีทั้งลมทะเลและกระแสน้ำอุ่นทำให้อากาศไม่หนาวเกินไปในช่วงหน้าหนาว คล้ายๆกับ iceland และช่วงปลายปีก็จะเป็นช่วงที่มืดสนิทตลอด 24 ชั่วโมง พระอาทิตย์ไม่โผล่พ้นขอบฟ้าเลย ถ้ามาเดือนธันวาคมและมกราคม จะเที่ยวยากสักหน่อยเพราะเวลากลางวันน้อย แต่ข้อดีก็คือมีโอกาสเห็นแสงเหนือเยอะกว่า เพราะเวลากลางคืนยาวนาน และตำแหน่งที่ตั้งของ Lofoten ก็สามารถเห็นแสงเหนือได้อย่างแน่นอน
สำหรับหน้าหนาวนี้ ผมแนะนำให้มาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม เพราะเป็นช่วงที่ยังมีหิมะอยู่ และหิมะที่เกาะอยู่ตามภูเขามันแต่งแต้มทำให้บรรยากาศทีนี่สวยขึ้นมากๆ หลายเท่าตัวเลยครับ ในขณะที่หน้าร้อนเราก็จะเห็นแต่ภูเขาดำๆมากกว่า แต่หน้าร้อนก็จะ hiking ขึ้นไปตามภูเขาได้ง่ายกว่า ไม่ต้องลุยหิมะ ซึ่งมันจะทำให้การเดินยากลำบากมากๆ
การเดินทาง
หากมาจากไทยเราต้องตั้งต้นจาก Oslo เพราะเที่ยวบินระหว่างประเทศจากไทยส่วนมากจะมาลงที่นี่ แล้วค่อยต่อเครื่องขึ้นไป แม้จริงๆแล้วการเดินทางไป Lofoten สามารถเดินทางได้ทั้งขับรถจาก Oslo ก็ได้ แต่จะใช้เวลานานหลายวันมาก ผมแนะนำให้นั่งเครื่องมาลง Bodø (รหัสสนามบิน BOO) จาก Oslo มา Bodø มีสองสายการบินหลักๆให้เลือกคือ SAS กับ Norwegian หรือถ้าใครจะบินมาจาก Trondheim หรือ Tromsø ก็มีตัวเลือกบินตรงของ SAS เหมือนกัน
พอเราถึงเมือง Bodø ก็อยู่เหนือ Arctic Circle แล้วล่ะครับ และเราต้องไปเมือง Reine ซึ่งจะเป็นมุมโปสการ์ดที่คลาสสิคที่สุดของ Lofoten จากตรงนี้สามารถมีตัวเลือกไป Reine ได้สามทางคือนั่ง Ferry มีเส้นทางคือ Bodø ไป Moskenes ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ แต่รอบจะไม่ถี่มากนัก (วันละ 1-2 รอบ) สามารถเช่ารถจาก รอบเรือสามารถเชคได้จากในเวบ Torghatten จาก Moskenes ไปเมือง Reine นั้นใกล้มากๆ ขับรถ 10 นาทีเอง ถ้าใครอยากขับรถชมวิว ก็สามารถขับรถจาก Bodø อ้อมขึ้นไปถึง Narvik แล้ววกลงมา Reine ได้เช่นกัน ระยะทางรวมๆ 650 km ขับประมาณ 11-12 ชั่วโมงครับ (อ่วมเลย ฮาาา) ถนนสายที่วิ่งไปจนสุดเกาะ Lofoten จะเรียกว่าถนน E-10 ซึ่งถนนเส้นนี้จะ maintain ดีในตลอดหน้าหนาว มีรถโกยหิมะวิ่งตลอดเวลามีหิมะตก
ตัวเลือกในการเดินทางของผม ผมเลือกที่จะบินจาก Bodø ไป Leknes ด้วยสายการบิน Wideroe ซึ่งมีรอบบินเยอะมากทีเดียว วันละ 6-8 รอบ แม้จะเป็นช่วง low season ก็ตาม ตอนนี้ Wideroe ถูกซื้อโดย SAS จึงเป็นสายการบินในเครือ SAS และสามารถจองเที่ยวบินผ่านเวบไซท์ของ SAS ได้โดยตรง ค่าตั๋วจาก Bodø ไป Leknes ราวๆ 53-108 euro ต่อเที่ยวครับ แบบ 108 euro จะเป็นแบบ flexible หากใครอยากได้ความยืดหยุ่นในการเดินทาง ใช้ระยะเวลาบิน 25 นาที เป็นไฟลท์สั้นๆแต่วิวดีมาก ถ้าบินจาก Bodø ไป Leknes ให้นั่งฝั่งขวา ส่วนขากลับให้นั่งฝั่งซ้าย จะได้วิวดีครับ พยายามนั่งเลี่ยงไม่ให้ติดปีกเครื่องบิน จะได้ถ่ายรูปได้สะดวกๆ
เดี๋ยวนี้มีบินตรง Oslo – Leknes แล้วนะครับ มีสัปดาห์ละสามรอบ M/W/F เวลาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่สำหรับคนต่อเครื่องการบินไทย เวลาไม่ทันเครื่องแน่ๆโดยเฉพาะขากลับครับ ส่วนขาไปก็ต่อเครื่องพอได้แต่กระชั้นพอสมควร
หากบินมาลง Leknes จะมีบริษัทรถเช่าที่ชื่อคุ้นหูทั้ง 3 เจ้าครับ นั่นคือ Avis, Europcar และ Hertz ซึ่งทั้งสามเจ้าก็มีรถหลายขนาด มีทั้งแบบเกียร์กระปุกและเกียร์ออโต้ครับ หรือจะเลือกเช่ากับบริษัทเล็กกว่าในเมืองก็ได้ แต่ผมยังไม่เคยลองครับ ทริปที่ผมไปมา เช่ากับ Europcar ตกวันละ 100 euro แพงเกือบๆเท่าที่พักเลย 5555 ถ้าอยากมาแบบช่างภาพ ไปหามุมตามที่ต่างๆ ยังไงก็ต้องมีรถเช่าครับ จะสะดวกกว่ามาก แม้ว่าตลอดเส้นทางจะมีรถเมล์วิ่ง แต่จะวิ่งไม่ถี่มากนัก และใช้เวลานานกว่ามาก ทำให้การเดินทางไม่ยืดหยุ่นครับ รายละเอียดรถเมล์สามาถติดตามได้จากเวบนี้ครับ ถนนสายหลักของเกาะนี้คือถนน E-10 ที่วิ่งมาตั้งแต่ชายแดนติดกับสวีเดน ยาวมาตลอดเกาะ Lofoten ไปสุดที่เมือง Å แต่เส้นทางส่วนใหญ่ยังเป็นถนนสองเลนอยู่นะครับ
โดยรวมแล้ว ถนน E-10 เส้นทางดี ไม่ชัน หากมีหิมะก็เคลียร์เร็วมาก แต่ข้อเสียคือทางแคบ แคบมากเป็นบางช่วง เวลามีรถบรรทุกวิ่งต้องรอหลบ ซึ่งในการขับรถหน้าหนาว บางครั้งจะเจอหิมะคลุมเส้นทาง ถ้าใช้ความเร็วไม่มากนักก็ปลอดภัยครับ Speed limit ที่นี่อยู่ที่ 60 km/hr ซึ่งก็ไม่เร็วเลย ส่วนในเมืองจะอยู่ที่ 30-50 km/hr ซึ่งผมไม่เคยขับเกินเลยครับ แค่นี้ก็ถือว่าเร็วมากสำหรับถนนแคบๆที่คลุมไปด้วยหิมะบางช่วงแล้ว ถ้าใครไม่คุ้นเคยขับรถบนหิมะ ก็ขับช้าๆครับ ไม่ต้องใช้ความเร็ว ถ้าคันหลังจี้มา เขาก็จะหาทางแซงไปเอง หรือถ้าเหตุฉุกเฉินจริงๆ รถลื่น ควบคุมไม่ได้ ก็ห้ามเหยียบเบรก หรือดึงเบรกมือครับ เพราะเหยียบเมื่อไหร่รถจะหมุนทันที พยายามประคองพวงมาลัยเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง แล้วปล่อยให้ความเร็วลดลง พอความเร็วลดลงมากพอ เราจะคุมรถได้เอง
ที่พัก
ผมเลือกพักที่ Eliassen Rorbuer ซึ่งเป็นบ้านพักแบบ cabin คำว่า Rorbuer คือที่พักในลักษณะที่ดัดแปลงมาจากที่พักชาวประมง เป็นอาคารสีแดงโดดเด่นอยู่ในเมือง Hamnøy คิดเป็นดอลล่าร์แล้วราคาตั้งต้นอยู่ที่ 120 USD ต่อคืน พักได้ 4-5 คน พอหารออกมาก็ตกราวๆ 1000 ต่อคนต่อคืน ผมจองใน booking.com ก็ถือว่าไม่แพงมาก ถูกกว่านอน hostel ในเมืองใหญ่อย่าง Oslo ซะอีก ที่พักก็มีห้องครัวพร้อม สามารถทำกับข้าวทานเองได้เลย ซึ่งผมก็แนะนำว่าถ้ามาหน้าหนาวให้ทำกับข้าวทานเอง เพราะแทบไม่มีร้านอาหารเปิดเลย ในเมือง Reine ก็มีตัวเลือกที่พักอยู่อีกหลายที่เลยครับ
ล่าสุดปี 2018 ผมเดินทางกลับไปอีกครั้ง คราวนี้พักที่ Sakrisoy Rorbuer โดยรวมผมประทับใจกว่า Eliassen ครับ บ้านใหญ่ ครัวใหญ่ บรรยากาศดี ริมน้ำ และยังใกล้ supermarket กับร้านขายปลาด้วย โดยเฉพาะร้านขายปลานี่เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงเลย จากจุดตรงนี้ไปที่ถ่ายภาพหลายแห่งได้ง่ายด้วยครับ โดยเฉพาะจุดที่เดินขึ้นเขาครับ แนะนำครับ
อากาศ
ผมพูดได้คำเดียวว่า ไม่มีพยากรณ์อากาศใดที่จะคาดการณ์อากาศของ Lofoten ได้แม่นยำเลย มีเช้าวันนึงผมออไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น มองดูตรงขอบฟ้าก็พอมีลุ้นเพราะฟ้าเปิดนิดนึง พอกางขาปั้บ พายุหิมะก็เข้ามาทันที ตกไปสัก 30 นาทีก็หยุด และฟ้าเคลียร์อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันไร 30 นาทีต่อมาก็หิมะตกอีกรอบ ซึ่งตอนนี้พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้ว ผมก็เลยไม่ได้แสงแรก พอรอไปอีกประมาณ 30 นาที พายุก็หยุดอีกครั้ง และได้แสงแตะยอดเขาซักที สรุปง่ายๆเลยว่าอากาศที่นี่แปรปรวนสุดๆๆๆๆๆ แต่ถ้ามีพายุใหญ่ อากาศก็อาจจะเน่าไปได้ยาว 3-4 วันเลย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ถ้าอากาศปกติ จะดีสลับร้าย ผมคิดว่าถ้ามาหน้าร้อนอากาศจะดีกว่ามาก ถ้าเจออากาศแย่ๆ ก็หลบรอในรถสักชั่วโมง อะไรๆอาจจะดีขึ้นครับ
ฉะนั้นถ้าก่อนมาทริป เห็นพยากรณ์ล่วงหน้าว่าอากาศจะแย่ ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะคุณก็ยังมีโอกาสลุ้น อย่างทริปผมเองก็เห็นพยากรณ์แย่ๆก่อนเดินทาง ทำใจไว้แล้วว่าคงไม่ได้ภาพ แต่โชคก็ยังพอเข้าข้างบ้าง ได้รูปติดไม้ติดมือมานิดหน่อยในช่วงที่อากาศเปิด แต่ถ้าใครเห็นอากาศดีๆก็อย่าวางใจ เพราะอากาศที่นี่เปลี่ยนกันรายนาที พยากรณ์ล่วงหน้า 3 วัน 10 วันให้ดูคร่าวๆก็พอ เพราะสุดท้ายแล้วผมดูอากาศเป็นนาทีต่อนาที และเน้นดูแผนที่เมฆแทน (satellite + radar + cloud) เวบที่ผมใช้คือ yr.no ซึ่งเป็นเวบพยากรณ์อากาศอย่างเป็นทางการของนอร์เวย์ เป็นเวบที่ผมพบว่าเชื่อถือได้มากที่สุดแล้ว เขาอัพเดตกันรายนาที และก็ยังมีแอพให้ใช้ด้วย (แต่ในแอพดูแผนที่เมฆไม่ได้)
หน้าหนาวทีนี่ไม่หนาวมากจนเกินไป ผมมาช่วงกลางเดือนมีนาคม อุณหภูมิอยู่ราวๆ 0 องศาทั้งกลางวันและกลางคืน แกว่งนิดหน่อยตั้งแต่ -3 ถึง 2 องศา แต่ถ้าลมแรงอาจจะรู้สึกหนาวมากขึ้นอีกหลายเท่า ถ้ามีเสื้อกันลมดีๆจะช่วยได้มากครับ
Location
มาพูดถึงเรื่อง Location กันบ้าง ทริปของผมเองเที่ยวแค่ตั้งแต่บริเวณ Leknes ไปถึงเมือง Å เท่านั้นครับ (เมืองนี้ชื่อเท่มาก 555) โดยเน้น Reine และ Hamnøy มากหน่อย เพราะเป็นจุดที่วิวสวยที่สุดในแถบนี้แล้ว ภูเขารูปสามเหลี่ยมโดดเด่นกลางทะเล สวยคลาสสิคกว่าบริเวณอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด ถ้าอยากได้มุมคลาสสิค ให้มาที่ Reine เลยครับ มีจุดถ่ายรูปมากกว่า 10 จุดเลยทีเดียว บางจุดอาจจะต้องขึ้นเขาสูงหน่อย แต่จุดส่วนใหญ่จะรถถึงหมดครับ
หลักๆเลยจะมีโซน Reine กับโซนชายหาดที่อยู่ใกล้กับ Leknes เริ่มกันที่โซน Reine ก่อนแล้วกัน
- Hamnøy มุมนี้อยู่ตรงตีนสะพานหน้าเมือง Hamnøy เป็นจุดแรกที่ผมอยากแนะนำ เพราะมุมมันคลาสสิคมาก มีบ้านสีแดง และภูเขา Festhelltinden อยู่ด้านหลัง มุมนี้ถ้าพักที่ Eliassen Rorbuer จะสามารถเดินมาถ่ายรูปได้เลย ใกล้มากๆ ถ้าจอง Sea View cabin อาจจะได้นอน cabin ในภาพด้วยซ้ำไปครับ 555 มุมนี้สามารถถ่ายจากบนสะพาน หรือเดินลงไปริมฝั่ง ก็จะได้มุมที่ต่างออกไป จากริมฝั่งสามารถถ่ายเก็บทั้งบ้านสีแดงและ Olstinden ได้
Hamnoy จากมุมสะพาน
- Olstinden from Hamnoy ถ้าเดินไปด้านเหนือของเกาะของเมือง Hamnøy ก็จะเจอมุมเงาสะท้อนของ Olstinden ด้วย
- Olenilsøy มุมนี้คือมุมในรูป Cover photo อยู่บนเนินเขา สามารถเห็นวิวได้ 360 องศา จากถนน E10 จะมองเห็นเกาะนี้ และมีเสาโทรศัพท์ตั้งอยู่บนยอดเกาะ ให้ขับรถแยกมาที่เกาะ จะมีลานจอดรถเล็กๆ จอดรถตรงนี้แล้วปีนขึ้นไปที่นั่นแหละครับ มุมสวยอยู่ตรงนั้นเอง
Olenilsøy
- Toppøya จะเป็นมุมที่ถ่ายเงาสะท้อนของ Olstinden ในมุมด้านข้าง ถ้าโชคดีลมสงบ มุมนี้จะสวยมากๆ ตอนข้ามสะพานมาจาก Hamnøy ก็จะเห็นที่จอดรถเล็กๆอยู่ตรงตีนสะพานเลย และเป็นมุมที่ถ่ายแสงเหนือได้ด้วย เพราะหันทางเหนือพอดี แต่ผมโชคไม่ดีที่เห็นแสงเหนือบางมากๆๆๆ แม้ว่าอากาศพอจะเปิดบ้าง อันนี้คืออากาศเปิดที่สุดในทริปแล้วครับ 5555
- ทางเข้าเมือง Reine พอเลี้ยวปั้บจะเห็นมุมโปสการ์ดอีกมุมอยู่ด้านซ้ายเลยครับ ภูเขาลูกทางซ้ายคือ Hammarskaftet ทางขวาคือ Olstinden
ทางเข้าเมือง Reine
ผมลองบิน drone จากจุดนี้ ก็ได้มุมที่สวยงามครับ
- Pier เล็กๆ ไม่ไกลจากปั้มน้ำมันใน Reine สามารถจอดรถที่ปั้มแล้วเดินไปได้ มุมนี้จะเห็นยอดเขาแหลม และ Olstinden คู่กัน
- Sakrisoy มุมนี้อยู่ไม่ไกลจากร้านขายปลาครับ จริงๆอยู่ตรงทางไปขึ้นเขา Olenilsoya เลย ให้จอดรถตรงหน้าร้าน แล้วเดินย้อนมาทาง Hamnoy นิดหน่อย มีมุมให้ถ่ายเยอะครับ
Sakrisoy
- Ågvatnet ทะเลสาบที่อยู่ตรงเมือง Å ที่นี่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง ทำให้เป็นเงาบังพายุ หิมะไม่ค่อยตกในทะเลสาบมากนัก สามารถหา pattern สวยๆเป็นฉากหน้าคู่กับยอดเขาสวยๆที่อยู่หลังทะเลสาบได้ แต่ตอนที่ผมไป ผิวหน้าของทะเลสาบเริ่มละลาย และไม่หนาพอที่จะเดินบนทะเลสาบโดยปลอดภัยแล้วครับ
- Small Bridge เป็นเกาะเล็กๆไม่ทราบชื่อข้างถนน E10 ก่อนทางแยกเข้า Reine มุมนี้สามารถเห็นยอดเขารูปทรงแหลมๆที่ชื่อ Hammarskaftet และมีสะพานเป็นเส้นนำสายตา ผมติดใจรูปของ Daniel Kordan มากๆ เลยต้องมาถ่ายตาม 555
Hammarskaftet
- Olstinden หน้าตรง มุมอยู่บนเกาะเล็กๆเหมือนกัน นี้ไม่ไกลจากสะพานด้านบน ให้เดินไปอ่าวก็จะเห็นมุมนี้ครับ
Olstinden reflection
สำหรับโซน Leknes จะมีชายหาดสวยๆเยอะ ผมจะเน้นเฉพาะจุดที่ผมไปมานะครับ
- Hestneset เป็นหาดที่อยู่ทางเหนือเมือง Vareid ไป 3 กิโลเมตร ก่อนถึงโค้งเข้าเมือง Lofoten ตรงจุดนี้คลื่นแรงดี และมีหินก้อนใหญ่ให้ถ่ายเยอะครับ
- Skagsanden ชายหาดที่ฮิตที่สุด มียอดเขา Hustinden อยู่ด้านหลัง และช่วงน้ำลง หาดจะกว้างมาก มีเงาสะท้อนจากทรายเปียกๆ เห็นเงาสะท้อนได้ 360 องศาเลย และที่เด็ดที่สุดคือลวดลายของทรายสองสีที่สวยมากๆ และจุดนี้ยังเป็นจุดยอดนิยมในการถ่ายแสงเหนืออีกด้วย
ลวดลายที่ Skagsanden
แสงเหนือที่ Skagsanden
- Stortinden เป็นภูเขาแหลม มีน้ำตกเล็กๆลาดเอียงที่ไหลมาจากลำธารสายเล็กๆ ถ่ายคู่กับยอดเขา Stortinden สวยดีครับ จอดรถริมถนนได้เลย
- Storvatnet ทะเลสาบที่เห็นน้ำแข็งแตกเป็นก้อนๆ โชคไม่ดีที่ตอนที่ผมไป พายุหิมะตกหนักมาก ทำให้ผิวหน้าของทะเลสาบเต็มไปด้วยหิมะ ไม่เห็นผิวหน้าน้ำแข็งเลย
- Uttakliev หาดที่มีหินกลมๆเยอะมาก เป็นฉากหน้าที่สวยไม่เลว หากเดินไปทางซ้ายๆของหาดจะเจอหินกลมๆที่อยู่ในรูอีกที ดูน่าสนใจ เตรียมเปียกที่ Uttakliev นะครับ เพราะไม่เปียก ไม่มันส์ครับ
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงเป็นแรงบัลดาลใจให้ไป Lofoten กันนะครับ ไปไอซ์แลนด์แล้วประทับใจ ถ้าได้ไป Lofoten ด้วยแล้วจะติดใจสองเท่าเลย
สุดท้ายนี้ขอบคุณน้องโป้ที่ช่วยให้ข้อมูลตลอดทริปครับ ถ้าใครสนใจติดตามกระทู้พันทิปของน้องโป้ได้ที่นี่ครับ http://pantip.com/topic/34692564
ข้อมูลอื่นๆสามารถหาอ่านได้จากเวบนี้ครับ ข้อมูลครบเครื่องมากๆๆๆ http://www.68north.com/
หรือช่วยสนับสนุน ebook ที่ผมทำร่วมกับโป้ และหมอเต้ย ขอบคุณมากๆครับ
You must be logged in to post a comment.