รีวิววันนี้พิเศษมากๆครับ เพราะจะพาไปนั่งเครื่องบินที่ผมว่าน่ารักที่สุดในโลกแล้ว ณ ตอนนี้
เท้าความก่อนว่า ก่อนหน้านี้นั้น สายการบินญี่ปุ่นนั้นไม่มีสายการบินใดที่มีเครื่องยักษ์ Airbus A380 เลย ไม่ว่าจะเป็น JAL หรือ ANA แต่เมื่อเร็วๆนี้เอง ANA ก็ได้เครื่อง A380 นี้มา 3 ลำจากการซื้อสายการบิน Skymark เพื่อที่จะได้ landing slot ที่สนามบินฮาเนดะ เรื่องยาว ไว้อ่านใน Mainly Miles แล้วกันครับ 555 ด้วยความเป็นญี่ปุ่น เลยจัดให้เครื่องยักษ์ลำนี้บินเฉพาะเส้นทางฮาวายเท่านั้น และได้ประกวดออกแบบลายเครื่องบิน และด้วยความเป็นญี่ปุ่น ก็ได้ลายน่ารักสมกับเป็นญี่ปุ่นจริงๆ ลายทั้งสามนี้ได้มาเป็นชื่อ Flying Honu สามลำ ที่มีสีฟ้า เขียว และแดง ในปัจจุบัน (ธันวาคม 2563) ตอนนี้ได้มีการส่งมอบแล้วสองเครื่อง และได้เริ่มเที่ยวบินปฐมฤกษ์เมื่อ 24 พฤษภาคม 2563 นับว่ารีวิวนี้ใหม่มากๆทีเดียวครับ รีวิวของต่างประเทศเองก็ยังไม่ค่อยมี และน่าจะเป็นรีวิวแรกของไทย
ทั้งสามลำนี้มีชื่อด้วยนะครับ คือ Lani (สีฟ้า) เป็นตัวแทนของท้องฟ้าฮาวาย, Kai (สีเขียว) เป็นตัวแทนของมหาสมุทร และ La (สีส้ม) เป็นตัวแทนของพระอาทิตย์ตก น่ารักมากๆเลยใช่ไหมครับ และในรีวิวนี้ผมได้นั่งเครื่อง Lani สีฟ้าครับ ซึ่งเป็นลำแรกที่ส่งมอบเลย ทีแรกก็ลุ้นอยู่ว่าจะได้สีเขียวไหม 555
Flight
Aircraft: Airbus A380-800
Flight number NH184
Tokyo Narita (NRT) – Honolulu (HNL)
Time 20.25 – 8.25, 7hr
Registration JA381A
Seat 1D, 1G
ค่าใช้จ่าย 80,000 miles จากสายการบิน United โดยแลกเส้นทาง BKK-NRT-HNL ได้นั่ง First สองขาคือ การบินไทย Airbus A380 (5 ชั่วโมงครึ่ง) และ ANA Airbus A380 (7 ชั่วโมง) กับค่าธรรมเนียมสนามบิน $64.23 ก็ประมาณ 1,950 บาทครับ
Award Booking
ถ้าแบ่งครึ่งๆ ก็จ่ายขาละ 40,000 miles ถือว่าคุ้มมากๆ เมื่อเทียบกับค่าตั๋วจริงๆ ซึ่งแค่เที่ยวบินจากนาริตะไปโฮโนลูลูในชั้นหนึ่ง ไปกลับอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาท หากเป็นตั๋วจากไทย ไปกลับอยู่ที่ 250,000 บาท คิดแบบแฟร์ๆ ขาเดียวก็หารสองครับ (ปกติถ้าจองขาเดียวจะแพงเท่าๆกับไปกลับ) สำหรับการเทียบกับการแลกไมล์ผ่านการบินไทย ฮาวายอยู่ Zone 8 ดังนั้นการแลก First Class จากกรุงเทพจะใช้ 160,000 ไมล์ นับว่าเยอะเป็นสองเท่าทีเดียวครับ
การแลกไมล์จองที่นั่งชั้นหนึ่งในครั้งนี้ถือว่ายากและท้าทายมาก เพราะเป็นที่รู้กันว่าสายการบิน ANA นั้นปล่อยที่นั่งชั้นหนึ่งมาไม่เยอะ ปล่อยล่วงหน้าประมาณ 12 เดือนให้สมาชิกภายใน ANA Mileage Club ได้แลกก่อน และถัดมา 11 เดือนล่วงหน้าสำหรับสมาชิกสายการบินอื่นๆใน Star Alliance การที่จะหาวันที่มีที่นั่ง First ว่างสองที่นั่งนั้นยากสุดๆเลยครับ สำหรับเที่ยวบินนี้ ราวๆต้นเดือนมกราคม 2562 ผมได้ทราบข่าวว่าทาง ANA กำลังจะเปิดให้จอง ซึ่งเปิดให้จองพร้อมกันทั้งตั๋วที่ซื้อแบบเสียเงิน และตั๋วแลกไมล์ จึงเป็นโอกาสที่หายากมากๆที่จะแลกได้ รีบหาที่นั่งว่าง และแลกในทันทีแบบไม่ลังเล ซึ่งก็กว่าจะหาได้ก็คว้าตั๋วได้บินช่วงปลายปีเลยทีเดียว ก็เกือบหนึ่งปีกว่าจะได้เดินทาง สำหรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ วันที่ 24 พฤษภาคม 2562 หรือเที่ยวบินในช่วงเดือนแรกๆนั้นเต็มหมด แลกไม่ได้เลย ใครได้ตั๋ว First ของวันแรกนี่ยอมใจในความไวเลยครับ แย่งกันอุตลุดมาก
สำหรับการจองนั้น สามารถใช้ Avianca Lifemiles หรือ Virgin Atlantic ได้อีกด้วยนะครับ อัตราแลกไมล์จะดีกว่าของ United ที่ผมใช้อีกหน่อย
ที่นั่งชั้นหนึ่งนั้นมีเพียง 8 ที่นั่งเท่านั้น และได้ปรับ design ใหม่ทั้งหมด มีความเรียบและหรูมากๆ ปรับเปลี่ยนเป็นโทนสีเข้ม จะคล้ายคลึงกับ First Suite แบบใหม่บนเครื่อง Boeing 777-300 ที่เพิ่งอัพเกรดที่นั่งไปเมื่อเดือนกลางปี 2562 (ตามหลัง Airbus A380 ราวๆแปดเดือน) โดยรวมๆผมคิดว่าต่างกันแค่หน้าจอ ที่นั่งบน Airbus A380 มีความกว้าง 32 นิ้ว แต่ของ 777-300 ล่าสุดนี่ซัดไป 43 นิ้ว แบบ 4K เลยทีเดียว น่าจะเป็นจอภาพความบันเทิงบนเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ครับ ขอหา award availability ก่อนนะครับ แล้วจะตามไปรีวิว 55
Lounge
เนื่องจาก Airbus A380 เป็นเครื่องใหญ่มหึมา Gate ที่รองรับของสนามบิน Narita ที่ทาง ANA ใช้ จะอยู่แถวๆโซน Satellite 4 ก็คือแถวๆ Gate 42-46 และผมก็มาใช้บริการ ANA Suite Lounge ซึ่งให้บริการกับผู้โดยสารชั้นหนึ่งที่ตรง Satellite 4 นี่เอง
ตัว Lounge ไม่ได้กว้างขวางสุดๆ แต่อาหารและบริการที่นี่จัดเต็มมากครับ มีทั้งส่วนที่เป็นอาหารร้อนแบบบุฟเฟต์ตักได้ตลอด และส่วนของอาหารทำสดๆ ที่สามารถไปสั่งได้ มีทั้งอุด้ง ข้าวหน้าปลาดิบ ข้าวแกงกะหรี่ เป็นต้น และที่พิเศษมากๆ เพิ่งเริ่มไม่กี่เดือนมานี้เอง ใน Lounge มีเชฟมาปั้นซูชิให้กินกันสดๆด้วยครับ รสชาดใช้ได้เลย
เชฟซูชิปั้นสดๆทุกคำ
ซูชิ ตอนแรกจะได้คนละ 1 ครั้งเท่านั้นครับ เพื่อที่จะเผื่อให้ผู้โดยสารท่านอื่นๆ ส่วนผมนั่งอยู่ที่นี่นานหน่อย พอผู้โดยสารน้อยลง และซูชิยังเหลือ เราก็สามารถเดินไปเติมได้อีกครับ ช่วงท้ายๆก่อนเลิก คงมีปลาเหลือ เชฟเลยเดินแจกแทบทุกโต๊ะ ขายของเลยครับ
อีก Feature ที่ผมว่าน่าสนใจมากคือ คิวห้องอาบน้ำครับ การต่อคิวห้องอาบน้ำที่นี่ เราต้องไปลงคิวไว้ เป็นหน้าจอสัมผัส กรอกเบอร์โทรศัพท์ แล้วระบบจะส่ง SMS มาหามือถือเราโดยตรงเมื่อถึงคิวแล้วครับ อันนี้ใหม่ดี ไม่เคยเห็น แม้จะเป็นเบอร์ต่างประเทศที่ไม่ใช่เบอร์ของญี่ปุ่นก็ใช้งานได้ครับ
กดปุ๊บจะได้คิวมา และแจ้งว่าจะได้ข้อความ SMS ด้วย
ห้องน้ำที่นี่ก็มาตรฐานทั่วไป ไม่ได้ใหญ่โตหรือดูอลังการใดๆ
ห้องอาบน้ำที่นี่ใช้สบู่ แชมพูจาก THANN ซึ่งเป็นแบรนด์สัญชาติไทยด้วยนะครับ น่าภูมิใจจริงๆ
Boarding
ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว เครื่องที่เราสองคนนั่งวันนี้คือ Lani หรือ Flying Honu ลำสีฟ้า ซึ่งก็เป็นลำแรกที่ส่งมอบนั่นเองครับ ออกจาก Gate 45
ใกล้ขึ้นเครื่องแล้ว บอกเลยว่าตื่นเต้นมากๆ เป็นเที่ยวบินที่ตื่นเต้นที่สุดที่เคยนั่งมา เพราะความน่ารักของเครื่องบินนั่นเอง
Flying Honu แบบใกล้ๆกันครับ ผมชื่นชมคนออกแบบมาก มุ้งมิ้งมากกกกก ยกให้เป็นเครื่องบินที่น่ารักที่สุดตลอดกาลไปเลย
พอ boarding ก็จะเป็นจังหวะแรกที่เราได้เห็นเครื่องบินกันแบบใกล้ๆ เราก็จะเห็นชาวญี่ปุ่นรุมกันถ่ายรูปเครื่องบินกันอย่างสนุกสนาน ทุกคนตื่นเต้นกับความน่ารักของเครื่องบินลำนี้จนถึงถ่ายเก็บเอาไว้ มีความเป็นญี่ปุ่นสูงมากๆ เราสองคนก็เช่นกัน เซลฟี่กับชาวญี่ปุ่นที่รุมถ่ายเครื่องบินกันอีกที 55
เที่ยวบินนี้มี Safety Video ในบรรยากาศฮาวายด้วยครับ เพิ่มความน่ารักไปได้อีก ผมไม่แน่ใจว่าเที่ยวบินอื่นๆของ ANA เปลี่ยนเป็นแบบนี้หรือเปล่า ถือว่าทำออกมาได้ไม่หลุด theme สมกับเป็นญี่ปุ่นเลย
Seat
ที่นั่งบนเครื่องจัดแบบ 1-2-1 มีเพียง 8 ที่นั่งเท่านั้น อยู่บนชั้นสองของเครื่องบิน ความกว้าง 33 นิ้ว หรือประมาณ 84 ซม. ความยาว 78 นิ้ว เกือบสองเมตรเลยทีเดียว ฉะนั้นคนตัวยาวๆไม่มีปัญหาเรื่องนอนเลยครับ
เราสองคนเลือกที่นั่งคู่ตรงกลาง 1D และ 1G ซึ่งพอแอร์เห็นว่าเรามากับเป็นคู่ ก็จัดแจงเอาที่กั้นลงให้ ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้า ไฮเทคมากๆ ซึ่งเที่ยวบินนี้เต็มทุกที่นั่งครับ เที่ยวบินไปฮาวายนั้นขายดีอยู่แล้ว ฮิตในหมู่คนญี่ปุ่น ตัวที่นั่ง
รายละเอียด feature ทั้งหมดสามารถติดตามในเวบของ ANA ได้ครับ
เลขที่นั่งอยู่ด้านบน มองยากหน่อย ตอนแรกเกือบไม่เห็น
ผมชอบการใช้หมอนสีม่วงมาตัดกับกับสีเทาเข้ม กรอบที่นั่งโดยรวมเป็นสีน้ำตาลเทา มันดูเรียบง่าย หรู และสวย
Cabin อันนี้ดูดีจริงๆ จะเป็นคนละแนวกับ Etihad หรือ Emirates ครับ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบ Cabin ของ Emirates เท่าไหร่ มันดูเยอะแยะไปหมด
ตัวที่นั่งนี้เป็นแบบ Suite มีประตูสามารถเลื่อนได้ ปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว มีจอทีวีขนาด 32 นิ้ว ก็ถือว่าใหญ่ตามมาตรฐานเมื่อเทียบกับ First Class ของสายการบินอื่นๆ มีไฟอยู่รอบทิศทางเลยครับ มีไฟอ่านหนังสือเล็กๆอยู่ข้างประตูในภาพ และถัดมาจะเป็นไฟตกแต่ง ที่เห็นเป็นสี่เหลี่ยมกรอบขาวๆนั่นเอง
เมื่อมองภาพรวมของสองที่นั่ง จะเห็นว่ากว้างมากทีเดียว
ไฟอ่านหนังสือตรงด้านหลังที่นั่งก็ให้มาอีกสองดวง
ด้านข้างประตูก็เป็นที่วางหนังสือเล็กๆ และเปิดมาเป็นกระจกแต่งหน้าได้อีกด้วย
ปุ่มคอนโทรลทั้งหมดของที่นั่งนี้
สิ่งที่ผมว่าเจ๋งและสายการบินอื่นไม่มีคือ รีโมทแบบมี Trackpad ครับ สังเกตว่าตัวรีโมทมีพื้นที่สี่เหลี่ยมว่างๆอยู่ด้วย นั่นคือ Trackpad นั่นเองครับ เอานิ้วลากๆไป เหมือนการใช้ trackpad ใน Notebook เลย แต่ทำลากสองนิ้ว ขยาย เลื่อนไปเลื่อนมาไม่ได้นะครับ 55
ช่องเก็บของจะอยู่ด้านข้าง อยู่ใต้แผงควบคุม ซึ่งก็จะพอเก็บของเล็กๆน้อยๆได้ แต่ใส่กล้องผมไม่ลงครับ ใหญ่เกิน
Dining
มาเข้าหัวข้อใหญ่กันเลย ซึ่งก็เรื่องกินดื่มนั่นเองครับ มาดูกันครับว่าสายการบิน ANA จัดอะไรมาบ้าง คราวนี้ผมสองคนเลือกอาหารญี่ปุ่นทั้งคู่เลย เที่ยวบินนี้กว่าจะเริ่มเสิร์ฟอาหารก็ผ่านไป 1 ชั่วโมงเลยครับ เนื่องจากช่วงแรกๆตอนเครื่องขึ้น มี Turbulance หนักมาก เรียกได้ว่าน่าจะหนักที่สุดที่ผมเคยเจอมาเลย เหมือนนั่งรถไฟเหาะ มีบางจังหวะตัวลอยนิดๆ คิดว่าถ้าคนตัวเบาๆ ไม่ได้คาดเข็มขัด อาจมีตัวลอยจากเบาะแน่นอน เป็นการบินผ่านกลุ่มเมฆเลยมี Turbulance เกือบ 30 นาที แอบเซ็งนิดๆที่กัปตันไม่ได้แจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนเครื่องออก เพราะดูไม่ได้เป็น unexpected turbulance แต่ก็อาจจะไม่ได้ทราบล่วงหน้าก็ได้ครับ
แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็ราบรื่นตลอดเที่ยวบิน ไม่มีอะไร
สำหรับตัวที่นั่งนั้นมีฝั่งตรงข้ามที่มีเบาะ พอจะทำเป็นโต๊ะกินข้าวสำหรับสองคนได้สบายๆ
ANA นับว่าเป็นสายการบินที่จัดเต็มเรื่องอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพาะชั้นหนึ่ง อาหารคอร์สสไตล์ญี่ปุ่นนั้นคัดมาแต่ของดีๆ ส่วนสาเก ไวน์ หรือแชมเปญนั้นก็เต็มที่มากๆ มาดูเมนูกันเลยครับ ซึ่งจะแบ่งเป็น อาหารญี่ปุ่น Japanese Cuisine และฝั่งอาหารตะวันตก International Cuisine
จากเมนู มีหลายอย่างมาก แค่นับๆฝั่งอาหารญี่ปุ่นก็มีทั้งหมด 19 อย่างแล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นคำเล็กๆ บอกเลยว่าผมเองก็ตามไม่ถูกว่าอันไหนคืออันไหนบ้าง เยอะจริงๆ และบางทีก็มาสลับๆกันบ้างครับ
มาเริ่มด้วย Amuse กันเลย จานนี้จะเหมือนกันทั้งฝั่ง Japanese และ International
มีสี่อย่าง ผมบรรยายไม่ค่อยถูก ก็จะเป็นขนมปังแท่งงาดำ ฟัวกราส์ปั้นเป็นกลมๆ แฮมเป็ด โรลปลาเทราท์รมควัน
จาน Zensai มีทั้งปลาย่าง เป็ด เต้าหู้ และมัน ส่วนจานเล็กๆน่าจะเป็น Sakizuke แต่มีหอยเม่นแปะมาด้วย จัดจานมาได้สวยทีเดียว
จานสี่เหลี่ยมทางขวาคือ Kobachi มีหอยและปลาหมึก ส่วนจานกลมทางซ้ายน่าจะ Takiawase แต่ไม่แน่ใจครับ 55
Shusai จานหลัก มีปลาย่าง เห็ดชิทาเกะ และ shimp fishcake
ภาพทางขวา ผมสั่ง Otsukuri มาเพิ่ม มีทูน่า และ Monkfish Liver ครับ ส่วน Steamed Rice ผมไม่ได้ถ่ายมา เพราะมันมาทีหลังสุด หลังจากกินทุกอย่างหมดแล้ว สงสัยแอร์ลืมครับ 55
พอดูรวมๆแล้วมีหลายอย่างมาก ผมนับถือแอร์เลยที่ต้องจัดทุกอย่างหมดนี้ การนำเสนอดีมากๆครับ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ทานอาหารญี่ปุ่นอลังการขนาดนี้บนเครื่องบินเลยทีเดียว
ขอแถมอาหารฝรั่ง 1 จาาน สั่งมาด้วยความอยากลอง คือเนื้อวากิวครับ
ปิดท้ายด้วยของหวาน ลองสั่ง Mont-blanc ในเมนู International ซึ่งก็คือมูสนั่นเอง
ด้านหลังในจานสีดำเป็นของหวานฝั่ง Japanese เป็นไอศกรีมวานิลลาราดซอสสตอเบอรี่
สำหรับเครื่องดื่มนั้น เนลองแชมเปญ Krug เสียดายถ่ายมาเบลอ 55 ส่วนผมก็ non-alcohol เลยลอง Limited Time offer อย่างน้ำแอปเปิล Mapple Juice Fuji จากจังหวัด Nagano ซึ่งผมว่าอร่อยเลยล่ะครับ เป็นมิติใหม่ของการกินน้ำแอปเปิ้ลเลย
สำหรับเมนูเครื่องดื่ม ขอแนบไว้ตอนท้ายนะครับ เมนูเครื่องดื่มเยอะมาก เดี๋ยวจะทำให้มันยาวเกินไป ใครสนใจ list ของแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ผมไม่ได้ลองให้ครบ เพราะไม่ดื่มครับ 55
ระหว่างรอของหวาน ก็ set ไฟเล่นๆ ด้วยการเปิดไฟอ่านหนังสือด้านหลัง สร้าง rim light ได้ดีทีเดียว
On Board Experience
นอกจากอาหารที่ยอดเยี่ยมแล้ว ANA ก็มีบริการต่างๆไม่แพ้ชั้นหนึ่งในสายการบินอื่นๆเลยครับ
Amenity Kit
สำหรับ Amenity Kit เราจะได้กระเป๋าจาก Global Trotter ซึ่งด้านในเป็นผลิตภัณฑ์จาก Ginza แบรนด์เครื่องสำอางระดับบนของญี่ปุ่นเลย ผมชอบกระเป๋ามาก ลาย เป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับสีขาว มันเรียบหรู และน่ารักมาก ซึ่งกระเป๋าลายนี้เป็นกระเป๋าแบบใหม่ เริ่มแจกบนเที่ยวบินบน Airbus A380 อีกด้วย ตอนนี้เข้าใจว่า First Class บนเครื่องบิน 777-300 ก็จะได้กระเป๋าแบบเดียวกัน
นอกจาก Amenity Kit สุดน่ารักแล้ว บนเครื่องนั้นมีแจกชุดนอน รองเท้าแตะ สองอย่างนี้นำกลับได้ และนอกจากนี้ยังมี Cardigan อีกหนึ่งตัว และผ้าผืนเล็กๆซึ่งนุ่มมาก แต่ก็เล็กเกินจะเอาไว้ห่ม 55 สองอย่างนี้สำหรับใช้บนเครื่องเท่านั้น ห้ามนำกลับครับ ถือว่าแจกเครื่องนุ่งห่มให้ใช้บนเครื่องบินเยอะมากหลายชิ้นทีเดียว
แต่บนเครื่องแอร์ค่อนข้างร้อน สุดท้ายผมไม่ได้ใช้สักอย่างเลย ฮา ได้ยินมาจากหลายๆรีวิวว่าสายการบินญี่ปุ่นมักเปิดแอร์ค่อนข้างร้อน ซึ่งก็น่าจะจริงครับ
Wifi
บนเครื่อง Airbus A380 นั้นมี Wifi บริการด้วยนะครับ ซึ่งถ้าบิน First Class จะได้คูปองใช้งานฟรีตลอดเที่ยวบิน เป็นแบบ full flight plan แต่สุดท้ายผมไม่ได้ใช้ เพราะวันนั้น wifi มีปัญหา ขนาดจะเข้าหน้าแรกเพื่อใส่ code ยังเข้าไม่ได้เลย ก็เลยยังมีคูปองเหลือยังไม่ได้ใช้งานครับ อาจจะเก็บเอาไว้ในครั้งต่อๆไปถ้าได้บิน ANA อีก
Turndown Service
กินไปเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ได้เวลานอน ซึ่งผมสองคนกินกันช้ากว่าคนอื่นมาก ตอนของหวานเสิร์ฟนี่เคบินหรี่ไฟลงแล้ว พนักงานก็มาปูเตียงด้วยความรวดเร็วฉับไว มีเวลานอนประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆก่อนจะ Land ที่ฮาวาย
Arrival
ประสบการณ์ First Class ของ ANA ไม่ได้จบแค่บนเครื่องเท่านั้น หลังจากถึงฮาวายแล้ว ผู้โดยสารชั้นหนึ่งจะได้ลงจากเครื่องก่อน และทางสายการบินก็จัดรถพิเศษมารอรับ ไปต่อคิว ตม. แบบพิเศษที่ไม่ต้องรอคิวใดๆ มีผู้โดยสาร 8 คน กับเจ้าหน้าที่ ตม. ของอเมริกา 2 ช่อง ทั้งหมดเสร็จภายใน 10 นาทีครับ ส่วนใหญ่ผู้โดยสารชั้นหนึ่งเป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งก็เข้าอเมริกาโดยไม่ต้องใช้วีซ่าอยู่แล้ว กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเลยเร็วมากๆ มีผมกับเนที่ต้องยื่นวีซ่า
มีรถมารับถึงหน้าเกตเลย ดังนั้นถ้าใครจะรอถ่ายรูปอยู่บนเครื่อง อาจจะพลาดรถบัสคันนี้นะครับ ไม่แน่ใจว่ารถบัสจะรอ (แล้วผู้โดยสารคนอื่นต้องรอเราด้วย) หรือเขาจะวนมารับใหม่ เพราะผมเองก็ทราบตรงนี้มาก่อน เลยรีบลงจากเครื่องพร้อมๆกับผู้โดยสารท่านอื่นๆ
และที่สายพานกระเป๋า ก็มีเจ้าหน้าที่คอยยกกระเป๋าแยกมาให้เรียบร้อย แยกเป็นสัดส่วนอย่างดี ทั้ง First Class และ Business Class ผมผ่าน ตม. มาปุ๊บก็ได้กระเป๋าทันทีเลย ตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากเครื่อง ผ่านตม. จนถึงได้กระเป๋า ภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ผมมีเที่ยวบินต่อไปอีกเกาะนึง เผื่อเวลาไว้เกือบ 3 ชั่วโมง เวลาเหลือเลยครับทีนี้ ต่อเครื่องสบายๆเลย และสายการบิน ANA ก็ check กระเป๋าผม thru ต่อไปยัง Hawaiian Airlines ให้อีกด้วย แม้จะจองแยก booking กันก็ตาม โดยผมแจ้งไว้ตั้งแต่สนามบิน Narita ครับ
สรุป
First Class ของ ANA ดีสมกับเป็นหนึ่งในสองสายการบินสายการบินดีที่สุดของญี่ปุ่น ดีงามทุกอย่าง ที่นั่งใหม่ดีมาก สวย เรียบหรู มี function ทุกอย่างครบ บริการสุภาพมากๆสมกับเป็นสายการบินญี่ปุ่น อาหารดีสมคำร่ำลือ ถ้าเลือกคอร์สอาหารญี่ปุ่นนี้ไม่มีผิดหวังแน่นอน คุ้มค่าไมล์ที่แลกไป ต้องโดนครับ
ซึ่ง First Class ในรูปแบบใหม่นี้ปัจจุบันอยู่ใน Airbus A380 ซึ่งบินเฉพาะฮาวายเท่านั้น (Tokyo Narita – Honolulu) และตอนนี้มีในเครื่อง Boeing 777-300 ซึ่งตอนนี้ (มกราคม 2563) มีทั้งหมด 6 ลำแล้ว บินในเส้นทาง Tokyo Haneda – London/Frankfurt และ Tokyo Haneda & Narita ไปยัง New York-JFK ครับ
เสียดายที่เที่ยวบินนี้ ภายในไม่ค่อยมี theme เป็น flying honu สักเท่าไหร่ พอเข้ามาแล้วเป็น First Class แบบปกติ ซึ่งถ้า ANA ใส่ลูกเล่นต่างๆ อาจจะทำให้เที่ยวบินนี้มีความเฉพาะตัวมากขึ้น และมีความประทับใจมากขึ้นอีกเยอะเลยครับ คล้ายๆกับที่ EVA จัดมาให้ใน Hello Kitty Plane (ซึ่งกำลังจะมีรีวิวให้เร็วๆนี้)
จุดด้อยสำหรับเที่ยวบินนี้ ผมอาจจะโชคไม่ดีก็ได้คือ wifi ใช้งานไม่ได้ ระบบ trackpad บนรีโมทค้างบ่อย และระบบปรับอากาศค่อนข้างร้อน นอกนั้น โดยรวมเป็นเที่ยวบินที่ดีมากๆในชีวิตผมเที่ยวบินนึงเลยครับ
ผมจัดตุ๊กตา Flying Honu มาด้วย 1 ตัว ราคาสูงเอาเรื่อง ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากเที่ยวบินที่น่าประทับใจนี้ เสียดายที่ไม่มีสีเขียว เพราะลายของตุ๊กตาจะตามเครื่องบินเลยครับ ถ้าเรานั่งสีฟ้า ก็จะมีตุ๊กตาสีฟ้าขายเท่านั้น
ที่นั่ง 2D และ 2G ที่อยู่ด้านหลังผมครับ
ขอแถมภาพบรรยากาศ ANA Lounge โฉมใหม่ที่สนามบิน Honolulu กันบ้าง ตัว lounge นั้นอยู่ทาง Gate C4 ซึ่งถ้าบินสายการบินอื่นๆของ Star Alliance จะเดินไกลนิดนึง แต่ดีกว่า United Club อย่างเทียบกันไม่ได้ครับ
มีทั้ง ANA lounge สำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ และบัตรทอง Star Alliance และ ANA Suite Lounge สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ซึ่งตัว Lounge นี้จะอยู่ตรงหน้า Gate ขึ้นเครื่อง Airbus A380 พอดี
ด้านในตกแต่งสวยมาก อาหารดี และมี soft served ice cream ให้กินด้วย มีมุมนั่งเล่นของเด็กๆด้วยครับ
ขากลับผมกับเนบิน Asiana มาชั้นหนึ่ง แต่ก็กลับชั้นประหยัดครับ ไมล์หมดแล้ว 555 ก็ขอมาสั่งลา Flying Honu สักหน่อย เจอลำสีเขียว (Kai) พอดี ถ้าใครมีโอกาสมาต่อเครื่องที่สนามบิน Honolulu และบิน Star Alliance ก็สามารถมาลองใช้บริการที่ Lounge แห่งนี้ได้ครับ คิดว่าแม้ว่าบิน United แบบ domestic แต่เป็นสมาชิกบัตรทอง ก็สามารถเข้า lounge นี้ได้นะครับ แต่เผื่อเวลาเดินไป gate สักหน่อย ผมเดินไป Gate F2 ของ Asiana ใช้เวลาเกือบๆ 15 นาทีเลย
ขอทิ้งท้ายด้วยเมนูเครื่องดื่มจากที่ได้เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ครับ
Beverage List
เรียกได้ว่าจัดเต็มมาก ทั้งแชมเปญ ไวน์ สาเก ชาเขียวดีๆก็มี ถ้ามีเวลาก็อยากลองให้หมดเลย แต่เที่ยวบินนี้แค่ 7 ชั่วโมงเอง