สวัสดีครับ
Alaska เป็นรัฐนึงในสหรัฐอเมริกาที่ถูกพูดถึงน้อยมาก ขนาดเพื่อนคนเมกันที่ผมรู้จัก ถ้าบอกว่าผมจะไปอลาสกา เขาก็ดูตื่นเต้น ฟังดูเหมือนไปต่างประเทศที่ดูไกล เดินทางนาน แม้ว่าอลาสกาจะเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา แต่ก็ถูกซื้อมาจากรัสเซียในปี 1867 ด้วยตัวเลขที่ถูกมากๆ เพียงแค่ 7.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นเอง ทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างในอลาสกานั้นเพิ่งถูกค้นพบในภายหลัง ทั้งทองคำ แร่ธาตุต่างๆ ป่าไม้ สัตว์ป่า และรวมไปถึงบ่อน้ำมัน ถ้าผมเป็นรัสเซียในเวลานี้ก็คงรู้สึกเสียดายมากจริงๆครับ
การที่จะเที่ยวในอลาสกานั้นค่อนข้างลำบาก ถ้าจะเที่ยวให้ทั่วๆนั้นแทบจะเป็นไปได้ยากมาก และต้องใช้เงินมากๆ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นภูเขา หรือไม่ก็ฟยอร์ด ไม่มีถนนเข้าไปถึง สามารถไปได้โดยการเช่าเครื่องบินเหมาลำเท่านั้น ถนนสายหลักๆก็จะกระจุกอยู่ตรงทางตอนกลางและตอนใต้ของรัฐ
ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ จะว่าผมหลงรักอลาสกาก็ว่าได้ ผมมีโอกาสไปอลาสกาในโอกาสต่างๆกันถึงหกครั้ง (June 2011, March 2012, September 2012, April 2013, September 2013, และ June 2014) และในหกครั้ง แม้ว่าผมจะเดินทางไปซ้ำที่เดิมบ้าง แต่ผมก็ได้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันเลย ในกระทู้นี้ผมก็เลยอยากแชร์ประสบการณ์ทั้งหมดที่ผมรวบรวมมาจากการเดินทางทั้งหกครั้ง หวังว่าคงจะเป็นคู่มือฉบับใหญ่สำหรับคนที่อยากมาเที่ยวอลาสกานะครับ
ถ้าไปอลาสกาจะเห็นสัตว์เยอะมากๆครับ
การเดินทาง
การเดินทางหลักๆมาที่อลาสกานั้นสามารถทำได้โดยเครื่องบิน รถยนต์ หรือเรือ ferry
ผมจำไม่ขอกล่าวถึงการเดินทางโดยเรือสำราญ (cruise) นะครับ ไม่เคยได้มีโอกาสลองสักที ผมเองไม่ชอบเที่ยวกับทัวร์ที่คนอื่นเขาจัดมาให้แล้ว รักอิสระครับ 55
เครื่องบิน
สนามบินหลักของอลาสกานั้นมีสามแห่งคือ
- Anchorage: Ted Stevens Anchorage International Airport (ANC) อยู่ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอลาสกา (แต่ไม่ใช่เมืองหลวงนะครับ) นักท่องเที่ยวส่วนมากจะบินมาลงที่นี่ครับ มีสายการบินหลากหลายให้เลือก หลักๆคือ
- Alaska Airlines (from LAX, SEA, PDX, ORD)
- Delta (from LAX, SEA, MSP, SLC)
- United (from SFO, IAH, DEN, ORD)
- Frontier (from DEN)
- US Airways (from PHX)
- Jetblue (from LGB, SEA)
- Fairbanks International Airport (FAI) เป็นเมืองใหญ่ทางตอนเหนือของอลาสกา สายการบินตรงไปยังอเมริกาจะน้อยกว่า สามารถบินมาลง Anchorage ก่อนก็ได้ แล้วค่อยต่อเครื่องมา Fairbanks
- Juneau International Airport (JNU) สนามบินที่เมืองหลวงของอลาสกา มีไฟลท์ไป Seattle และเมืองรอบๆ เชื่อหรือไม่ครับว่า Juneau เป็นเมืองหลวงเมืองเดียวของอเมริกาที่ไม่มีถนนเข้าถึงจากเมืองอื่นๆ ต้องอาศัยเรือ หรือเครื่องบินเท่านั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมาตั้งเมืองหลวงที่นี่ และอีกทั้งยังอยู่ในส่วนที่เรืยกว่า Inside Passage ซึ่งเป็นทางตอนใต้สุดๆของอลาสกา ติดกับแคนาดาเลย
รถยนต์
การจะขับรถจากอเมริกาไปยังอลาสกานั้นต้องขับผ่านแคนาดาครับ ขับขึ้นจาก Seattle ผ่านรัฐ British Columbia ขึ้นไปจนถึงเมือง Whitehorse ในรัฐ Yukon ซึ่งจากตรงนี้สามารถขับลงมาทางใต้ เข้าอลาสกาผ่านทางเมือง Haines หรือ Skagway หรือถ้าขับไปทางตะวันตก ก็จะถึงเมือง Tok และขับต่อไปยัง Fairbanks หรือ Anchorage ได้ หลักๆแล้วถนนในอลาสกาจะเรียกว่า Alaska Highway มีทั้งหมด 12 สาย แต่ถ้านับตามชื่อที่ตั้งขึ้นจะมีมากกว่านั้นครับ เรียกสลับสับไปมา 555
ส่วนมากการเดินทางโดยรถยนต์ สำหรับผมแล้ว ผมตั้งต้นที่ Anchorage ครับ
เรือ
นอกจาก cruise ship แล้วสามารถใช้บริการ Alaska Marine Highway System ได้ด้วย อันนี้เป็นบริการเรือ ferry มีบริการจาก Seattle ครับ สามารถล่องเรือไปจนถึง Anchorage และเกาะเล็กๆได้หมดเลย และแน่นอนว่าใช้เวลามากกว่า แต่ประหยัดกว่าเครื่องบิน
ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Denali
ไปอลาสกาเที่ยวตรงไหนได้บ้าง?
ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ ถ้ามีงบประมานไม่จำกัด ก็เที่ยวได้ทั้งรัฐแหละครับ เพราะถ้ามีเงินเช่าเครื่องบินเหมาลำ ก็แทบจะไปได้ทุกที่แล้ว แต่ถ้าจะเดินทางด้วยรถยนต์ ก็จะมีข้อจำกัดอยู่แค่บริเวณแถวๆตรงกลางรัฐ ตั้งแต่เมือง Anchorage Fairbanks Tok Valdez ประมาณนี้ครับ (ดูแผนที่ประกอบ) และจะมีอีกส่วนเรียกว่า Inside Passage ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับแคนาดา ส่วนนี้จะเป็นฟยอร์ดเสียมาก ดังนั้นการเดินทางระหว่างเมืองที่สะดวกที่สุดก็คือทางเรือ หรือเครื่องบินครับ ถนนยาวๆมีแค่เมือง Skagway กับ Haines ที่มีถนนเชื่อมไปถึงแคนาดา ฉะนั้นถ้ามากับเรือสำราญ ก็จะได้เที่ยว Inside Passage เป็นหลัก แต่ถ้ามาเอง ส่วนมากคนจะนิยมไปตรงกลางรัฐมากกว่าครับ
จากประสบการณ์ของผมเอง ส่วน Inside Passage ถ้ามาเอง จะเที่ยวลำบากมากๆครับ เว้นแต่มีสถานที่ที่อยากไปมากๆ ถ้าเที่ยวเอง แนะนำว่าไปตรงกลางรัฐจะไปได้หลากหลายกว่าครับ
Kayak ท่ามกลางภูเขาน้ำแข็งที่ Valdez อันนี้ห้ามพลาดเลยล่ะครับ
อลาสกามีอะไรดี?
อากาศ ภูเขา สัตว์ป่า ต้นไม้ ธารน้ำแข็ง ทะเล ฟยอร์ด
อลาสกาเป็นรัฐที่มีธรรมชาติที่บริสุทธ์มากที่สุดที่ผมได้ไปมาจริงๆครับ แค่อากาศก็กินขาดแล้ว เหมือนได้ไปฟอกปอดเลย ตอนที่ผมขับรถไปรอบรัฐ เห็นสัตว์ป่าเยอะมากๆ โดยเฉพาะที่ Denali National Park นี้เหมือนเป็นบ้านของสัตว์เลย เนื้อที่กว้างใหญ่มากๆ
นอกจากนี้ยังมี activity สนุกๆเยอะมาก ตั้งแต่พายคายัค เล่น zip line ไป hiking บนธารน้ำแข็ง ล่องแก่ง เรื่อยไปจนถึงนั่งเครื่องบินชมวิว (flightseeing) หรือ hiking ทั่วไป ชมสัตว์ ดูหมีก็สนุกแล้วครับ
ลีลาของไกด์ที่ปากทางเข้าถ้ำน้ำแข็ง
อากาศ
เรื่องอากาศนี่เป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว เนื่องจากอลาสกาตั้งอยู่ในละติจูดที่สูงมาก เนื้อที่เกือบ ⅓ อยู่เหนือ arctic circle ฉะนั้นแล้วภูมิอากาศจะเป็นแบบทุนดรา ว่าง่ายๆก็คืออากาศแปรปรวนมากๆ เหมือนกับประเทศที่อยู่ตามละติจูดสูงๆ เช่น ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ เป็นต้น วันนี้อากาศดี ฟ้าใส พรุ่งนี้อาจจะมีเมฆมาก หรืออาจจะฟ้าครึ้มไปตลอดสิบวันก็ได้ (ผมเจอมาแล้ว ฮาๆๆ)
และแน่นอนว่า พูดถึงอลาสกา ทุกคนก็ต้องจินตนาการไปก่อนเลยว่า แม่งต้องหนาวมากแน่ๆ ซึ่งก็จริงครับ หน้าหนาวที่นี่ ติดลบแน่นอน ตั้งแต่ 0 เรื่อยไปจนถึง -40 องศาเซลเซียส ยิ่งเป็นเมืองทางเหนือๆอย่าง Fairbanks ด้วยแล้ว อากาศ -40 นั้นเกิดขึ้นบ่อยๆครับ ผมเองยังไม่เคยไปช่วงกลางหน้าหนาวเลย แค่ไปเดือนมีนาและเมษา เจออุณหภูมิประมาณ -10 ถึง -20C นี่ก็ถือว่าหนาวสำหรับผมแล้ว 555 สำหรับหน้าหนาวที่นี่ โอกาสฟ้าใสและฟ้าครึ้มพอๆกัน และก็อย่าคิดว่าช่วงหน้าร้อนอากาศจะดีนะครับ เพราะว่าหน้าร้อนสำหรับอลาสกา มันคือ “หน้าฝน” นั่นเองครับ หน้าฝนที่นี่จะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลายเดือนสิงหาคม ฉะนั้นช่วงนี้ โอกาสที่จะเห็นฟ้าใสแทบน้อยมากๆ ยิ่งถ้าหวังจะเห็น Mount McKinley ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดของอเมริกาเหนือ ยิ่งหมดโอกาสเลยครับ ส่วนอุณหภูมิก็สบายๆครับ ประมาณ 15-20 องศา แต่ข้อเสียที่สำคัญที่สุดก็คือ ยุง ยุงมันเยอะมากๆ ไม่รู้มันไปอดอยากมาจากไหน กัดดุมากๆ กัดไม่ปล่อย ปัดก็ไม่ไป ต้องตบสถานเดียว แถมตัวใหญ่มาก ใหญ่เท่าข้อนิ้วก้อย ยุงเป็นสัตว์ที่ผมทึ่งมากๆ เพราะอยากรู้จริงๆว่ามันรอดจากหน้าหนาวสุดทรหดของที่นี่ได้ยังไง ช่วงที่ยุงเยอะคือช่วงเวลาที่อุณหภูมิสูงกว่า 0 องศาครับ ฉะนั้นเดือนพฤษภา และกันยาจะไม่มียุง เพราะอากาศช่วงตอนกลางคืนจะติดลบ
Mt McKinley ถ่ายช่วงหน้าหนาว ตอนนั้นผมดวงดีมากที่ฟ้าใสพอดี
เดือนที่อากาศแห้งที่สุดคือเดือนพฤษภาคม ฉะนั้นโอกาสฟ้าใสจะเยอะที่สุดด้วย ถ้าใครอยากเห็น Mt Mckinley ก็ควรมาเดือนนี้ แต่ต้องเชคกับทางอุทยานดีๆว่าถนนเปิดไปเท่าไหร่แล้ว บางปีถนนอาจจะเปิดช้า และเข้าไปไม่ถึงจุดชมวิวสำคัญที่จะเห็น Mt McKinley อย่างเต็มตาครับ
ใบไม้เปลี่ยนสีแบบทุนดรามันจะแดงสดแบบนี้เลยครับ
สำหรับเดือนที่ผมแนะนำให้เที่ยวอลาสกานั้นเป็นเดือนกันยายนครับ เพราะท่านจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีแบบทุนดรา โดยเฉพาะที่ Denali นั้น เขาทั้งลูกจะเป็นสีแดง ช่วงพีคของอลาสกาจะอยู่ประมาณสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน และช่วงนี้ก็จะมีเบอรี่ป่าอร่อยๆให้เก็บทานได้อีกด้วย แต่หมี Grizzly มันก็ชอบนะครับ ฉะนั้นเดินๆเก็บก็ต้องระวังอย่าไปเข้าทางหมีกันนิดนึง นอกจากนี้เดือนนี้ยังไม่มียุง แม้ว่าอากาศจะหนาว แต่ก็ไม่หนาวจนเกินไปครับ อากาศก็จะฟ้าครึ้มเป็นส่วนใหญ่ (ถือว่าเป็นปกติ) และช่วงนี้เริ่มจะเป็น low season แล้ว นักท่องเที่ยวน้อยลง ไม่ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ แย่งกันหาที่พัก แต่บริษัททัวร์ส่วนมากจะมีทัวร์จนถึงต้นเดือนกันยายน ฉะนั้นก็ควรเที่ยวไม่เกินนี้ครับ ถ้าเลยกลางเดือนไป หลายๆอย่างจะเริ่มปิดแล้ว
เจ้าหน้าที่บอกว่า ภาพนี้ผมเห็นตีนเขา Mt McKinley แล้วล่ะครับ แต่ยอดอยู่ไหน 55
สถานที่ท่องเที่ยว
ในกระทู้นี้ผมจะไล่เรียงไปตามพื้นที่เลยนะครับ ผมจะไม่รีวิวสถานที่ที่ผมไม่เคยไป
1. Anchorage – Girdwood
Anchorage เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอลาสกาครับ มีทุกอย่างครบครัน ร้านอาหารไทย หรือแม้แต่ตลาดขายของเอเชียก็มี ในตัวเมืองจะมีตลาดนัด (weekend market) อยู่ใกล้ๆกับ downtown ให้เดินเล่นได้ พวก museum นี่ผมขอข้ามไปเลยนะครับ ฮาาา
จุดถ่ายภาพที่ผมชอบไปก็คือ Point Woronzof Park อยู่ตรงปลายสุดของรันเวย์สนามบิน มุมนี้จะเห็นตัวเมืองและมีภูเขาเป็นฉากหลัง ซึ่งถ้ามาในหน้าหนาวจะคลาสสิคมากๆเลย อีกจุดนึงคือ Glen Alps ตอนนั้นผมเคยมาดักรอดูแสงเหนือที่นี่ (แต่ก็ผิดหวัง) แต่ถ้ามาในหน้าร้อนก็คงวิวสวยน่าดูเลยครับ ที่นี่เป็นหนึ่งใน trailhead ที่จะเดินเข้าไปใน Chugach State Park ซึ่งมี trail น่าสนใจเยอะทีเดียว ตัว state park นี้กินเนื้อที่กว้างข้าง เรียกได้ว่าด้านตะวันออกของเมืองก็คือเนื้อที่ของอุทยานทั้งหมดเลยครับ trailhead ที่น่าสนใจอื่นก็เช่น Eagle River และ Eklutna Lake
เมือง Anchorage จาก Point Woronzof Park
หากขับรถลงมาทางใต้ ตามเส้นทางสาย 1 หรือ Seward Highway ซึ่งมุ่งหน้าไปทาง Seward ตามชื่อ เส้นทางนี้จะลัดเลาะตามชายฝั่งทะเลไปเรื่อยๆ ระหว่าง Anchorage ถึง Girdwood จะสวยมาก เส้นทางนี้จะผ่านอ่าว ชื่อว่า Turnagain Arm ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาสูง และก็มีจุดชมวิวอยู่เป็นระยะๆครับ หากมีเลาน้อย สามารถขับไปกลับจาก Anchorage มาถึงแค่ Beluga Point ก็ได้ซึมซับบรรยากาศของ Turnagain Arm แล้วล่ะครับ
ตัวเมือง Girdwood เป็น ski resort เล็กๆ ในช่วงหน้าร้อนสามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปชมวิวได้ แต่ผมไม่มีเวลา เลยไม่ได้แวะขึ้นไปชม แต่ผมมีโอกาสได้แวะไป Alaska Wildlife Conservation Center ซึ่งเป็นสวนสัตว์เปิด ถ้าใครอยากดูสัตว์อย่างใกล้ชิดก็แนะนำที่นี่เลยครับ มีทั้ง moose, bison, grizzly, bald eagle เยอะมากจริงๆ
2. Whittier & Seward
Whittier และ Seward ทั้งสองเมืองนี้เป็นเมืองท่าเล็กๆติดทะเล และทั้งสองเมืองนี้ก็มี Tourist day cruise ชื่อดังให้บริการ โดยเมือง Whittier จะเป็นการล่องเรือชมธารน้ำแข็งใน Prince William Sound ส่วน Seward ก็มีการล่องเรือชมธารน้ำแข็งเช่นกัน แต่จะอยู่ใน Kenai Fjord National Park โดยส่วนตัวแล้วผมไปมาทั้งสองที่ ถ้าชอบดูสัตว์ ก็แนะนำว่าให้ไป Seward เพราะจะเห็นสัตว์หลากหลายมาก ทั้งปลาวาฬ แมวน้ำ นากทะเล หรือแม้แต่นกพัฟฟิน (แต่เห็นไกลๆนะครับ 55) ผมใช้บริการของ Major Marine https://www.majormarine.com/ ซึ่งเมื่อก่อนเขามีเสิร์ฟแซลมอนบนเรือด้วย (อร่อยมากๆ) เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ต้องเสียเงินเพิ่มต่างหาก แต่ข้อเสียของการล่องเรือจาก Seward นั้นจะได้แวะชม Glacier แค่ 1-2 แห่งเท่านั้น ตอนที่ผมไป ได้ชม Holgate Glacier ครับ ถ้าชอบดู Glacier ต้องไป Whitter แทน แต่ก็ต้องแลกกับการที่ได้เห็นสัตว์น้อยกว่า ที่เมือง Whitter นั้นผมใช้บริการของ Phillips Cruise (26 Glacier Cruise) http://www.phillipscruises.com/ จำได้ว่าตอนที่ไป เห็น Glacier มากกว่า 15 แห่งทีเดียวครับ! แต่ราคาก็จะแพงกว่าที่ Seward นิดนึง
หากท่านที่ต้องการชมสัตว์อย่างจริงจัง ผมแนะนำว่าไปกับเรือเล็กดีกว่า เรือของ Major Marine หรือบริษัทใหญ่ๆจะไปกับเรือใหญ่มากๆ ขนาด 100-200 ที่นั่ง ซึ่งไม่สามารถเข้าใกล้สัตว์ได้มากครับ มันไกลมากจนขนาดที่ว่าผมใช้เลนส์เทเลยังซูมแทบไม่เห็นเลย แต่ถ้าไปกับเรือเล็ก ค่าใช้จ่ายก็จะแพงขึ้นมาก และอาจจะใช้เวลาเดินทางมากขึ้นด้วยครับ
สำหรับเมือง Seward ถ้าจะไม่กล่าวถึง Exit Glacier ก็จะกะไรอยู่ เพราะการเดินทางนั้นง่ายมากๆ จอดรถแล้วเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงตัวธารน้ำแข็งแล้วครับ แต่ธารน้ำแข็งมันหดสั้นลงทุกปี หากไปช้า คุณก็จะเดินไกลขึ้นเรื่อยๆ 555 ตัว Exit Glacier นั้นอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Kenai Fjord และ Exit Glacier นี้ก็เป็นส่วนเดียวของอุทยานที่สามารถเข้าถึงได้โดยรถยนต์ครับ เรียกได้ว่าเป็นติ่งเล็กๆเลยทีเดียว หากต้องการชมส่วนที่เหลือนั้นต้องอาศัยเรือหรือเครื่องบินเท่านั้น หากได้ล่อง cruise ก็จะได้ล่องอยู่ในเขตอุทยานนี่แหละครับ
หากใครที่อยากทดสอบความฟิต ต้องมาลุย Harding Icefield Trail นะครับ trail นี้เรียกได้ว่าติดอันดับ top ของ National Geographic เลยทีเดียว ความชันนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะต้องไต่ระดับขึ้นไปสูงกว่า 3000 ft ในระยะทางเกือบๆ 4mi เท่านั้น ประมาณว่าขึ้นกันชันดิกๆเลยทีเดียว แต่ปลายทางของ trail นี้วิวเด็ดมากๆครับ เพราะมันคือ trail ไม่กี่แห่งในโลกที่สามารถพาคุณขึ้นไปถึง Icefield หรือทุ่งน้ำแข็ง ซึ่งเป็นต้นทางของธารน้ำแข็งน้อยใหญ่ทั้งหลาย ผมได้ลอง trail นี้สองครั้ง ครั้งแรกมาช่วงปลายเดือนมิถุนายน แต่เดินไปไม่ถึงเพราะหิมะเยอะมาก และก็กำลังจะมืดด้วย ครั้งที่สองมาต้นเดือนกันยายน และก็ลากสังขารขึ้นไปได้สำเร็จ เกือบไม่ทันพระอาทิตย์ตก (แถมเป็นตะคริวกลางทางอีกต่างหาก) ผมรับรองเลยว่า วิวของ Harding Icefield มันสวยจริงๆ เป็นทุ่งสีขาว กว้างสุดลูกหูลูกตา
ส่วน Whittier นั้นเป็นเมืองท่าเล็กๆ เป็นเมืองที่มีรถไฟและถนนเข้าถึง แต่ต้องผ่านทางอุโมงค์เล็กๆที่มีความกว้างเพียงแค่เลนเดียว ฉะนั้นอุโมงค์จะเปิดปิดเป็นเวลาเพื่อแบ่งให้กับการจราจรจากทั้งสองทาง หากใครจะมา Whittier ต้องเชคเวลาและวางแผนการเดินทางให้ดี เพื่อที่จะไม่พลาดรอบอุโมงค์ และไม่พลาด cruise ที่คุณจองไว้นะครับ ก่อนทางเข้าอุโมงค์ไป Whittier นั้นจะมี lake เล็กๆชื่อ Portage Lake ถ้าหากมีเวลาก็แนะนำว่าควรลองล่องเรือสั้นๆ เพื่อไปชม Portage Glacier สักหน่อย ค่าใช้จ่ายไม่แพงมากเท่ากับ Cruise อื่นๆ มีวันละห้ารอบนะครับ รายละเอียดติดตามได้ที่ http://www.portageglaciercruises.com/
และนอกจากนี้ ระหว่างทางไป Seward ตรงแยกที่จะไป Homers นั้นจะมีทะเลสาบเล็กๆ แต่วิวดีใช้ได้เลยครับ ชื่อว่า Tern Lake
3. Palmer – Matanuska
Palmer เป็นเมืองที่ใหญ่พอสมควร อยู่ทางตอนเหนือของ Anchorage เพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงดี สำหรับผม เรียกได้ว่าเมืองนี้เป็นทางผ่านไป Matanuska Glacier ตัวเมืองนั้นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมาก ผมเคยไปถ่ายแสงเหนือตรงถนน Old Glen Highway แถวๆสะพานข้ามแม่น้ำ Knik River ถ้าขับเลยไปหน่อยก็จะสามารถไปถึง Knik Glacier ได้ แต่ต้องเดินอีกไกลเลยครับ เพราะว่าตัวธารน้ำแข็งนั้นถอยร่นไปไกลมากๆ ถ้าอยากแวะธารน้ำแข็ง ผมแนะนำ Matanuska Glacier ใช้เวลาขับรถประมาณสองชั่วโมงจาก Anchorage และเรียกได้ว่ารถถึงตัวธารน้ำแข็งเลย Matanuska Glacier เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาที่รถถึง นั่นก็ทำให้การเดินทางสะดวกมาก ตัวธาน้ำแข็งก็ยาวที่สุดในแถบนี้แล้วครับ ยาวถึง 27mi ส่วนที่เราเห็นนั้นเป็นแค่ส่วนปลายเท่านั้นเอง
จากทางเข้า Matanuska Glacier ถ้าขับเลยไปทางตะวันออกอีกหน่อย (มุ่งหน้าไปทาง Glennallen) จะมีจุดชมวิวนะครับ ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี่สวยอย่าบอกใครเลย เพราะต้นไม้ด้านล่างจะเป็นสีเหลืองทั้งหมด
หากจะแวะมาชมธารน้ำแข็ง จะต้องจ่ายค่า Glacier Access fee คนละ $20 (อาจจะขึ้นราคาเป็น $25 ผมไม่แน่ใจ) ที่ต้องจ่ายเพราะว่าที่ดินบริเวณทางเข้านั้นมีเจ้าของเป็นเอกชน และเขาเก็บค่าผ่านทางครับ เอาไปดูแลรักษาถนน แต่ตัวธารน้ำแข็งนั้นไม่ได้เป็นของเอกชนครับ ก็ถือว่าเก็บแพงอยู่พอสมควรเลย หากเราต้องการเลือกทัวร์พาเดินบนธารน้ำแข็ง จะมีสองเจ้าหลักๆให้เลือกคือ Mica Tour (http://www.micaguides.com/) และ Matanuska Glacier Adventure (http://bestglacier.com/) ผมใช้บริการมาทั้งสองเจ้าแล้ว ของ Mica ไกด์ดีกว่าครับ ค่าทัวร์นั้นราคา $69 (หากมาเกิน 6 คนจะเหลือ $56) แต่ราคานี้จะยังไม่รวม $20 ที่ต้องจ่ายเพิ่มนะครับ ส่วนของ Matanuska Glacier Adventure ราคาคนละ $75 ซึ่งไม่ต้องจ่ายเพิ่มแล้ว เพราะเจ้าของบริษัทนี้ก็เป็นเจ้าของที่ดินที่เก็บค่าผ่านทางนั่นเองครับ ทำให้ราคารวมนั้นถูกกว่า แต่ผมก็แนะนำให้ไป Mica อยู่ดี 5555 แต่ถ้าใครสมัครใจจะเดินเอง ไม่จ้างไกด์ก็ได้นะครับ มีนักท่องเที่ยวหลายคนก็จ่ายแค่ $20 แล้วขับรถมาชมวิว และเดินรอบๆนิดหน่อย แต่อยากให้ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก และควรมีอุปกรณ์ให้พร้อม โดยเฉพาะ crampons นี่ขาดไม่ได้เลยครับ หากไม่เคยมา ผมคิดว่าไปกับไกด์ เขาจะดูแลความปลอดภัยได้ดีกว่า
ทัวร์เดินชมธารน้ำแข็งนั้นส่วนมากจะให้บริการช่วงหน้าร้อนอย่างเดียว แต่หน้าหนาวก็จะสามารถนั่ง snow mobile เข้าไปชมในอีกพื้นที่นึง (ที่ตอนหน้าร้อนจะกลายเป็นทะเลสาบใหญ่) และอาจจะได้เข้าไปเห็นถ้ำน้ำแข็งด้วย ในหน้าหนาวจะเหลือแค่ Matanuska Glacier Adventure ที่ให้บริการครับ ผมว่าถ้าได้มาหน้าหนาว ก็จะได้อีกฟิลนึงเลย สวยไม่แพ้กันครับ
นอกจากนี้ ทางตอนเหนือของเมือง Palmer ยังมีอีกพื้นที่นึงที่เรียกว่า Hatcher Pass ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยไม่แพ้ที่อื่นๆเลย ควรมาช่วงเดือนกรกฏาคมเป็นต้นไป เพราะถ้ามาเร็วกว่านี้ ตัว Pass จะยังไม่เปิด แต่ก็สามารถเที่ยวได้แค่ Independence Mine อย่างเดียวครับ ตัว mine ก็น่าสนใจดี เป็นเมืองเก่าที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งมีเยอะมากๆในอลาสกา สมัยที่ขุดแร่กันช่วงร้อยปีก่อน
4. Wrangell-St. Elias National Park
หากมีเวลาจริงๆ อุทยานชื่อยาวๆและมีขนาดใหญ่ที่สุดของอเมริกาอย่าง Wrangell-St. Elias National Park ก็เป็นที่ที่น่าแวะมากๆ แต่เนื่องด้วยความใหญ่มากๆของที่นี่ ทำให้เที่ยวลำบากมากๆ ตัวอุทยานสามารถเข้าถึงทางรถยนต์ได้สองเส้นทางหลักๆคือ McCarthy Road และ Nabesna Road ผมเคยไปแค่เส้นทาง McCarthy อย่างเดียว แค่ถนนสั้นๆ 60mi เส้นนี้ ต้นทางจากเมือง Chitna ไปถึง McCarthy ก็กินเวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมงแล้วครับ ถนนเป็นทางลูกรัง และทำความเร็วไม่ได้มาก แถมต้องระวังยางแบนด้วย รถพวกผมเคยเจอยางแตกทีนึง คนแถวนั้นบอกว่าเกิดบ่อย เพราะถนนเส้นนี้เป็นถนนของคนทำเหมือง Kennecott Mine ซึ่งอยู่เลย McCarthy ไปอีกนิดหน่อย บางครั้งก็อาจจะมีซากตะปูตกหล่นอยู่ริมถนน และทิ่มยางจนแบนได้ เผลอๆผมว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุง่ายกว่า Dalton Highway เสียอีกครับ
แต่ไหนๆถ้ามีเวลา พร้อมที่จะผจญทางลูกรัง 60mi คุณก็จะได้พบเหมือง Kennecott ตึกสีแดงสด รายล้อมด้วยวิวของธารน้ำแข็งใหญ่ชื่อ Root Glacier ซึ่งที่นี่มีทัวร์ไปถ้ำน้ำแข็งด้วยครับ ราคาไม่แพงเลย ลองติดต่อกับ St. Elias Guides (http://www.steliasguides.com/) ได้ เป็นทัวร์ day trip ชื่อ Ice Cave Exploration ครับ ตอนที่ผมไปเมื่อปี 2011 ทัวร์นี้ยังไม่เปิด แต่ผมก็ได้เดิน Full day แทน และได้แวะถ้ำน้ำแข็งที่นึง มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง และก็ประทับใจมากๆ แต่ตอนนี้ถ้ำที่ผมไปได้ถล่มลงไปแล้วนะครับ ตัวธารน้ำแข็งมีการเคลื่อนตัวตลอดเวลา ไปกับไกด์ ไกด์จะรู้ดีที่สุดครับว่าปีนี้ เดือนนี้ ถ้ำไหนปลอดภัย ถ้ำไหนน่าสนใจ สามารถติดตามได้จาก Facebook ของ St. Elias Guides ด้วยครับ https://www.facebook.com/WrangellStEliasAlaskaBackpackingGuides
5. Valdez
นอกจาก Whittier ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใน Prince William Sound แล้ว อีกด้านตรงข้ามกันก็ยังมีเมือง Valdez ซึ่งจาก Anchorage คุณสามารถขับรถอ้อมไป Valdez หรือจะขับรถมายัง Whittier และต่อ ferry ไป Valdez ได้ แต่ถ้าให้เลือกความสะดวกและความยืดหยุ่น ผมก็คงเลือกที่จะขับอ้อมดีกว่า เพราะ ferry มีแค่วันละหนึ่งรอบ และถ้าขับรถอ้อม ก็จะได้ขับผ่าน Matanuska Glacier ด้วย ใช้เวลาประมาณหกชั่วโมงเศษๆครับ
Valdez เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตรับฝนเต็มๆ ผมมาที่นี่ทีไรก็เจอแต่ฝนทุกที ตัวเมืองนั้นเล็ก แทบไม่มีอะไรให้เที่ยว กิจกรรมหลักๆของที่นี่ก็คือพาย kayak ครับ มีทั้งไป kayak ในทะเลเปิด และ kayak ในทะเลสาบปิด ผมว่าถ้าได้พายในทะเลสาบจะง่ายกว่ามาก เพราะแทบไม่มีคลื่นลมเลย และ highlight ของที่นี่ก็คือการได้พายเรือไปในก้อนน้ำแข็ง iceberg ที่แตกออกมาจากธารน้ำแข็งใหญ่ที่ชื่อ Valdez Glacier ครับ ผมใช้บริการของ Anadyr Adventure http://anadyradventures.com/ มาทั้งสองครั้ง ก็ประทับใจทั้งสองครั้งครับ ได้พายเรือซอกแซกเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง มันดูตื่นตาตื่นใจมากเลย แต่ผมรู้สึกว่าถ้ามาช่วงเดือนกรกฏา จะได้เห็นก้อนน้ำแข็งใหญ่ และเยอะกว่ามาช่วงปลายฤดูร้อน อาจจะเพราะว่าหากมาช้าเกินไป ก้อนน้ำแข็งสวยๆอาจจะไม่เหลือให้เห็นแล้วก็เป็นได้ แต่ถ้ามาช่วงปลายเดือนพฤษภาก็จะเร็วเกินไป ยังอันตรายเกินไปที่จะพายเข้าไปใกล้ธารน้ำแข็งครับ พายคายัคนี้ต้องใช้เวลาทั้งวันนะครับ เริ่มสิบโมงเช้า ไปเสร็จเอาบ่ายสาม เสร็จแล้วก็แทบหมดแรงเลย 55
ก่อนถึงเมือง Valdez คุณจะผ่านจุดแวะเที่ยวสามที่หลักๆคือ Worthington Glacier, Thompson Pass และ Keystone Canyon ซึ่งรถถึงเกือบทั้งหมด แต่ Worthington Glacier หากต้องการจะเข้าไปใกล้ๆธารน้ำแข็งจะต้องเดินสักหน่อยครับ ตอนที่ผมไป ผมก็แพลนมาชมธารน้ำแข็งหลังจากพายเรือเสร็จแล้ว แต่เสียดายที่ฝนตกตลอดทาง เลยไม่ได้รูปเท่าไหร่ มีได้ถ่ายน้ำตกบ้าง แต่ก็เปียกฝนตลอดครับ ระหว่างทางจาก Valdez ไป Thompson Pass จะผ่าน Keystone Canyon ซึ่งจะมีน้ำตกอยู่รอบๆประมาณ 2-3 ที่ อันที่ดังที่สุดคงหนีไม่พ้น Bridal Veil Falls (น้ำตกนี้ชื่อโหลมาก) ซึ่งผมประมาณๆเอา ก็สูงเกือบๆห้าสิบเมตรเลยทีเดียว
6. Fairbanks
Fairbanks เป็นเมืองใหญ่ทางตอนเหนือ ของทุกอย่างหาซื้อได้ที่นี่ แต่สำหรับผมแล้วไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะถ้ามาช่วงหน้าร้อน แสงอาทิตย์แทบจะมีตลอด 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวรอบๆ เช่น Chena Hot Spring (ซึ่งผมก็ไม่ประทับใจเช่นกัน) หรือ North Pole ซึ่งจะมีบ้านของซานตาคลอส น่าจะเป็นที่ถูกใจของเด็กๆนะครับ
สำหรับผมแล้ว Fairbanks สร้างความประทับใจให้กับผม เมื่อได้มาเยือนอีกครั้งในช่วงหน้าหนาว ที่ Fairbanks นี่เหมือนเป็นที่ชมแสงเหนือ เพราะละติจูดอยู่ตำแหน่งพอดีที่จะเห็นแสงเหนือได้ แต่ต้องอาศัยดวงด้วยพอสมควรจะครับ อากาศที่นี่แปรปรวนใช้ได้เลย ผมทำแผนที่คร่าวๆของเมือง Fairbanks เมืองใหญ่ทางตอนเหนือของอลาสกาที่เรามาปักหลักดู Aurora กันครับ สถานที่ดู aurora เลือกไม่ยากมากครับ ควรเป็นที่โล่ง ห่างไกลจากแสงไฟของเมือง และหากอยู่บนเนินเขาจะดี เพราะทำให้ขอบฟ้าโล่ง และในบางครั้งอาจจะอยู่เหนือสภาพอากาศขึ้นมาเล็กน้อย(เมื่อเทียบกับในเมืองที่อยู่ต่ำกว่า) โอกาสที่อากาศเปิดจะมากขึ้นครับ รอบๆ Fairbanks ในระยะทางขับรถไม่เกินหนึ่งชั่วโมง มีจุดต่างๆดังนี้ครับ
จุดสีส้ม – Mt.Aurora Skiland หรือ Clearly Summit จุดนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดครับ ซึ่งคนจะเยอะในบางวัน แต่สถานที่โล่ง
จุดสีชมพู – Ester Dome เดินทางสะดวก อยูใกล้เมืองมากที่สุด แต่แสงไฟจากเมืองก็จะรบกวนมากที่สุดด้วยครับ
ลูกศรสีเขียว – Chena Lakes ถ้ามาดู aurora ช่วงเดือนตุลาคม อาจจะได้เห็น aurora เป็นเงาสะท้อน แต่พวกผมมาเดือนมีนาคม ทะเลสาบเป็นน้ำแข็ง เลยต้องตัดทิ้งไปครับ
จุดสีแดง – Haystack Mountain จุดนี้อยู่ไกลเมืองมาก ตำแหน่งอยู่สูง แต่ว่าต้นไม้เยอะ วิวไม่ค่อยโล่งครับ
จุดสีเขียว – Murphy Dome จุดนี้ผมชอบที่สุดครับ มีหอดูดาว (ของ US Air Force) พอให้เป็น subject และวิวก็โล่งด้วยครับ แต่ข้อเสียคือหอดูดาวจะเปิดไฟ ซึ่งรบกวนการถ่ายภาพบ้างครับ (ภาพล่าง) แต่ผมถ่ายคนละด้านนะครับ ไม่ได้ถ่ายติดหอดูดาว
ผมได้มาชมแสงเหนือตอนเดือนมีนาคม ปี 2012 ได้เห็นแสงเหนือครั้งแรกในชีวิตก็ที่ Mt. Aurora นี่แหละครับ มันตื่นเต้นมากๆ ถ่ายกับรถตู้เสียเลย
ถ้ามา Fairbanks มีเวลา และบ้าบิ่นมากพอ ผมแนะนำนี่เลยครับ Dalton Highway
7. Dalton Highway
หนึ่งในการผจญภัยที่มันส์และบ้าบิ่นที่สุดของผมก็ต้องที่นี่เลยครับ Dalton Highway เป็นทางหลวงที่ยาวมากๆ ระยะทางรวม 666 km (เลขสวยนะเนี่ย) เชื่อมต่อระหว่างทางตอนเหนือของ Fairbanks กับมหาสมุทรอาร์คติก ใช่ครับ ฟังไม่ผิดจริงๆ มหาสมุทรเดียวกับขั้วโลกเหนือนี่แหละครับ เมืองทางตอนเหนือที่อยู่สุดทางของถนนคือ Prudhoe Bay และ Deadhorse ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำมันแหล่งสำคัญ และถนนสายนี้ก็เป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงวัสดุ สินค้า อุปกรณ์ต่างๆสำหรับบ่อน้ำมันนั่นเอง ตลอดเส้นทาง คุณก็จะได้เห็นท่อส่งน้ำมันที่ชื่อ Trans-Alaska Pipeline ไปตลอดทางอีกด้วย ท่อส่งน้ำมันนี้วิ่งจาก Prudhoe Bay ยาวไปถึง Valdez กินระยะทางเกือบๆ 1300 km เลยทีเดียว สำหรับ Dalton Highway นั้น หากวิ่งตลอดเส้นทาง จะใช้เวลาประมาณ 15-17 ชั่วโมง (แบบขับไม่หยุดเลยนะ) ตลอดระยะทาง 666km นั้นผ่านเมือง 3 เมือง (ไม่นับ Prudhoe Bay) มีปั้มน้ำมันแค่ 3 ปั้ม!!!!! ต้องวางแผนกันดีๆนะครับ หากพลาดเติมน้ำมันแล้วรถตายกลางทางนี่ไม่สนุกเลย ถนนสายนี้จะเป็นลูกรังประมาณ 40% ทำให้ทำความเร็วได้ไม่มาก และมีโอกาสยางแตกได้บ่อยด้วย ในคู่มือการเดินทางของทางหลวง เขาแนะนำว่า ควรมียางสำรอง 2 เส้นเป็นอย่างน้อย และก็ควรมีน้ำมันสำรองเผื่อฉุกเฉินด้วยครับ
ฟ้งดูน่ากลัว เอ๊ะ แล้วมันมีอะไรน่าสนใจให้ผมไปได้ถึงสองรอบ 555 รอบแรกนั้น ผมมาช่วงหน้าร้อน และอยากเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนครับ ก็เลยตัดสินใจบ้าบิ่นยิงยาวจาก Fairbanks ขึ้นเหนือ ผ่าน Arctic Circle ซึ่งก็จะมีป้ายให้ถ่ายรูป และขับเรื่อยๆจนไปถึง Atigun Pass พอพ้นตรงนี้ไป ภูเขามันสวยมากๆ landscape มันแปลกตา เป็นทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา รายล้อมด้วยภูเขา และตอนจังหวะนั้นได้เห็นพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าตอนเที่ยงคืน (แต่มันไม่ลับขอบฟ้าหรอกครับ เพราะอยู่ละติจูดสูงมากจนพระอาทิตย์ไม่ตกดิน) ก็เป็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่ประทับใจและทรหดเอามากๆ นั่งรถไปกลับ 24 ชั่วโมงพอดี
ครั้งที่สอง ผมมาช่วงเดือนมีนาคม ก็เกือบๆจะเป็นปลายหน้าหนาวแล้ว ด้วยความที่ผมประทับใจกับเทือกเขา Brooks Range นี้เอง ผมจินตนาการไปว่ามันต้องเป็น subject ที่ดีมากๆสำหรับแสงเหนือแน่ๆ ก็เลยลงทุนกับเพื่อนๆตีรถขึ้นมาจาก Fairbanks และก็ได้เห็นแสงเหนือที่สวยที่สุดในชีวิต และเจอกับสภาพอากาศที่โหดที่สุดในชีวิต moment ทั้งสองอย่างนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน
อากาศโหดเท่าไหร่ ก็ประมาณ -35 เซลเซียส บวกปัจจัยเรื่องลม (wind chill) ทำให้อุณภูมิอยู่ที่ -53 เซลเซียส!!!!! ผมจำความรู้สึกนั้นได้ขึ้นใจ มันหนาวจนกระทั้งนิ้วไม่มีความรู้สึก จับขาตั้งกล้องแล้วขาตั้งติดมือ หนาวจน heater ในรถไม่ทำงาน แต่ก็ทนถ่ายรูปไปราวๆหนึ่งชั่วโมงจนแบตในกล้องไม่เหลือ แต่แสงเหนือก็มันเต้นเอาเต้นเอาไม่หยุด ที่ผมรอดมาได้นี่ก็ไม่รู้ว่าโชคช่วยขนาดไหนแล้ว
ถ้าเป็นไปได้ อย่ามาหน้าหนาวเลยนะครับ อากาศมันโหดร้ายเกินไป สำหรับผมแล้ว ความฟินครั้งนั้นมันมากจริงๆ แต่ครั้งเดียวเกินพอครับ 555
8. Denali National Park
Denali เป็นอุทยานแห่งชาติที่รักธรรมชาติมากกว่านักท่องเที่ยวครับ นี่พูดเลย! อุทยานแห่งนี้มีถนนตัดเข้าไปเพียงเส้นเดียว และปิดไม่ให้นำรถส่วนตัวเข้า นักท่องเที่ยวทุกคนต้องใช้บริการรถ shuttle bus หรือ tour bus ที่อุทยานจัดไว้ให้เท่านั้น หากใครที่ต้องการไปแคมป์ ก็จะมี camper bus บริการให้ด้วย ตอนที่ผมไป เจ้าหน้าที่บอกว่า ทางอุทยานกำลังทำวิจัยเรื่องผลกระทบของการให้บริการรถบัสต่อสัตว์ป่า เพราะทางอุทยานคิดว่าการมีรถบัสหลายๆรอบเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจะเป็นการรบกวนสัตว์ป่าเกินไป จึงอาจจะพิจารณาลดจำนวนเที่ยวรถบัสลงอีก นี่ขนาดปิดถนนไม่ให้รถนอกวิ่งแล้ว ก็มีนโยบายลดการจราจรลงไปอีก ผมว่า ถ้าอุทยานแห่งชาติที่เมืองไทยคิดได้ทำได้แบบนี้จะเป็นการดีมากๆเลยครับ ยิ่งทำให้การเข้าถึงยากเท่าไหร่ นักท่องเที่ยวก็จะยิ่งเห็นคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น และเป็นโอกาสหนึ่งที่จะทำให้นักท่องเที่ยวใส่ใจกับการอนุรักษ์มากขึ้น
จุดสูงสุดของอุทยานนี้ก็คือ Mount McKinley ซึ่งก็เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือด้วยครับ สูงถึง 6194 เมตร ซึ่งภูเขาลูกนี้ก็ขี้อายมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ขอไม้ยมกเยอะๆ) เพราะหากท่านมาในหน้าร้อน ซึ่งรถบัสจะบริการในหน้าร้อนเท่านั้น หน้าร้อนที่นี่ก็ดันเป็นหน้าฝนอีก โอกาสที่ฟ้าจะเปิดเพื่อเห็นภูเขาก็ต่ำมากๆ ฉะนั้นแล้ว หากใครมาที่ Denali แล้วได้เห็น Mt. McKinley ผมถือว่าคุณโชคดีมากจริงๆ ผมนั่ง shuttle bus สามครั้ง สามปี ไม่เคยเห็นสักครั้งเลยครับ ชีวิตมันช่างอาเจน เอ้ย น่าเศร้าาาา ในเมื่ออากาศช่วงหน้าร้อนจะครึ้มตลอด ฉะนั้นผมแนะนำว่าควรมาช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี หรือต้นเดือนกันยายนดีกว่า เพราะอากาศแย่พอกัน แต่คุณจะได้เห็นทุ่งหญ้าทุนดราสีแดง สวยมากๆ และภูเขาที่นี่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยครับ อีกอย่าง สัตว์ก็จะออกมาหากินกันมากขึ้น เพราะต้องเตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาวแล้ว ซึ่งวิธีการเดียวที่จะชมสัตว์ได้ก็คือรถ shuttle bus นี่แหละครับ แนะนำว่าควรนั่งรอบเช้าๆ เพราะโอกาสที่จะเห็นสัตว์มีมากกว่าช่วงสายๆ ส่วนมากผมก็จะได้เห็นหมี Grizzly และกวางมูส มีแพะภูเขาบ้างประปราย (และไกลมาก) หากใครโชคดีก็อาจจะได้เห็นสัตว์อยู่ข้างๆรถเลยทีเดียว และคนขับรถของที่นี่ก็จะเป็นทั้งคนขับรถ เป็นไกด์ และคอยควบคุมดูแลความเรียบร้อยตลอดการเดินทาง คนขับรถที่นี่เก่งมาก สามารถขับรถไป พูดบรรยายไป และมองหาสัตว์รอบๆด้วย มีช่วงนึงที่ขับเข้าใกล้ polychrome pass ถนนช่วงนี้จะแคบมาก ข้างๆเป็นเหว พี่คนขับก็ยังสามารถพูดไปขับไปได้ สมาธิดีและ skill การขับรถช่างล้นเหลือดีจริงๆ 5555
นักท่องเที่ยวส่วนมากจะนั่งรถบัสมาถึง Eielson Visitor Center มีบางกลุ่มที่ตีตั๋วไปถึง Wonder Lake แต่ผมว่าแค่มาถึง Eielson ก็คุ้มแล้วครับ และ Polychrome pass ที่กล่าวไปตอนต้นก็เป็นจุดชมวิวกลางทางที่สวยมากๆจุดนึง อีกที่นึงที่สวยไม่แพ้กันก็คือ Stony Dome overlook ซึ่งจะเป็นมุมยอดฮิตที่สามารถเห็น Mount Mckinley ได้ ถ้าคุณดวงดีพอที่อากาศจะเปิด ซึ่งผมเองก็แห้วไปตามระเบียบนะครับ 5555 คนขับก็จะโม้ และมีภาพประกอบให้ดูว่า วันฟ้าเปิด คุณจะเห็นแบบนี้นะ (เขาคงต้องเตรียมพร้อมไว้ เพราะฟ้าปิดแทบทุกวัน นักท่องเที่ยวจะได้จินตนาการออกครับ ฮาๆ)
9. Juneau
Juneau เป็นเมืองเล็กๆ ที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอะไรเลย สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆคือ Mendenhall Glacier, Mount Robert Tram และ Tracy Arm Fjord ฉะนั้นถ้ามีเวลาสองวันเต็มๆก็สามารถเที่ยว Mendenhall Glacier และ Tracy Arm Fjord ได้ครับ ส่วน Mt Robert นั้นผมคิดว่าต้องอากาศดีถึงจะขึ้นไปแล้วคุ้ม ถ้าฝนตก มีหมอก ขึ้นไปก็อาจจะไม่เห็นวิวอะไร
สำหรับ Tracy Arm ก็เป็นฟยอร์ดคล้ายๆกับ Prince William Sound ที่ Whittier ตอนที่ผมไป Tracy Arm ผมใช้บริการ Cruise ของ Adventur Bound Alaska http://www.adventureboundalaska.com/ ซึ่งเป็นเรือเล็กมาก ขนาด 30-40 คนเอง ผมเพิ่งมารู้ตัวว่า การได้นั่งเรือเล็กเข้าไปชม glacier มันดีขนาดไหน สามารถเข้าไปใกล้มากๆ และเมื่อเวลาได้เจอสัตว์ต่างๆ ก็จะเข้าไปใกล้ได้มากกว่าการนั่งเรือใหญ่ๆครับ แต่เทียบกันแล้ว จำนวนของ glacier ที่ได้ชม ก็ยังน้อยกว่า Prince William Sound หลายขุมนัก
ตัวผมเอง ผมตั้งเป้าหมายมาที่ Juneau ก็เพราะอยากไปถ้ำน้ำแข็งที่ Mendenhall Glacier ถ้ำนี้หาไม่ยากครับ ค่อนข้างใหญ่ และมีนักท่องเที่ยวไปเยอะมากๆ การเดินทางนั้นไม่ยากเลย ขับรถไปบนถนน Skaters Cabin Rd จนสุดทาง จะมีที่จอดรถใหญ่ๆ รองรับรถได้ประมาณ 20-30 คัน จากนั้นเดินอีก 4mi ก็จะถึงธารน้ำแข็ง เส้นทางช่วงแรกจะเดินราบๆ ง่ายมาก มีสะพานข้ามลำธารนิดหน่อย แต่ช่วงไมล์สุดท้ายนั้นชันมาก เล่นเอาปีนป่ายสี่เท้าเลยทีเดียว ต้องเรียกความฟิตสักนิดนึงครับ ส่วนตัวถ้ำน้ำแข็งนั้นอยู่ค่อนไปทางตอนเหนือ หากเดินมาถึงธารน้ำแข็งแล้ว ถ้าเดินไปทางทะเลสาบ ถือว่าไปผิดทางนะครับ
สิ่งหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือเรื่องความปลอดภัย ซึ่งผมเห็นว่านักท่องเที่ยวที่มาชมถ้ำน้ำแข็งนั้นละเลยกันอย่างมาก อย่างน้อยอุปกรณ์ที่ควรมีก็คือหมวกกันน็อค (helmet) และ microspike (บางครั้งเรียก crampons) ซึ่งเป็นตัวเหล็กแหลมติดกับรองเท้าเพื่อกันลื่น เพราะถ้ำน้ำแข็งนั้นเปราะบางมาก และธารน้ำแข็งนั้นก็มีการเคลื่อนตัวตลอดเวลา เหตุไม่คาดฝันสามารถเกิดได้เสมอ เมื่อคุณพร้อมที่จะไปเยี่ยมชมถ้ำน้ำแข็งด้วยตัวเองแล้ว คุณก็ต้องแบกรับความเสี่ยงนั้นด้วยตัวเองนะครับ เมื่อวันที่ 18 กรกฏาที่ผ่านมาเร็วๆนี้เอง น้ำแข็งตรงปากถ้ำได้ถล่มลงมา โชคดีที่เหตุเกิดตอนกลางคืน จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เป็นตัวบ่งชี้ออย่างดีว่า ถ้ำน้ำแข็งมันไม่เสถียรเหมือนก่อนอีกแล้ว หากจะไปเยี่ยมชมต้องอาศัยความระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวครับ ทางอุทยานก็มีจดหมายเตือนออกมาแล้วว่ามัน extremely dangerous หรือว่า “อันตรายมาก” นั่นเอง ทางที่ดี ควรไปชมในช่วงหน้าหนาวอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ
ถามว่าคุ้มไหม ผมตอบได้เลยว่า คุ้มมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมเรื่องความปลอดภัยด้วยนะครับ อย่าให้ความสวยงามมาทำให้เราประมาท
บทสรุป
โดยรวมแล้ว อลาสกาเป็นรัฐที่เที่ยวไม่ง่าย เพราะเป็นรัฐที่ใหญ่มาก ต้องเดินทางเยอะมาก แต่ถ้าใครชอบธรรมชาติ อากาศบริสุทธ์ ต้องมาครับ เรียกได้ว่ายังเป็นธรรมชาติที่ยังไม่ถูกบุกรุกมากมายเหมือนบ้านเรา ถ้ามีเวลาสัก 10 วัน ผมคิดว่าสามารถเที่ยวได้รอบๆ และมีเวลาเหลือเฟือ ไม่รีบจนเกินไป ช่วงเวลาที่ผมแนะนำคือปลายเดือนสิงหา ถึงต้นเดือนกันยา อากาศไม่หนาวไม่ร้อน และไม่มียุงด้วยครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีข้อมูลพร้อมเที่ยวอลาสกาแล้วนะครับ 🙂
พี
You must be logged in to post a comment.