Tombstone คงเป็นสถานที่ที่ผมคิดว่ามันช่างดูไกลแสนไกลมากๆ แทบเรียกได้ว่าน่าจะไม่เคยมีใครได้ยินผ่านหูผ่านตาเลย Tombstone เป็น park เล็กๆอยู่ตอนกลางของรัฐ Yukon ประเทศแคนาดา แค่เอ่ยถึงชื่อรัฐ Yukon หลายคนก็คงฉงนว่าแม่งอยู่ตรงส่วนไหนของโลกฟระ จริงๆแล้ว Yukon ก็อยู่ติดอลาสกานี่แหละครับ เป็นรัฐที่แทบจะไม่มีอะไรเลยถ้าในอดีตไม่มีการพบขุมทอง เมืองส่วนใหญ่ของที่นี่ โดยเฉพาะ Dawson City ก็จะตั้งขึ้นมาเพราะยุค Gold Rush ทั้งนั้น นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ที่เหลือก็คือพื้นที่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไพศาล พื้นที่ของสัตว์ป่ามากมาย ทั้งรัฐมีคนอาศัยอยู่แค่สามหมื่นคน แค่สองหมื่นนั้นก็อาศัยกระจุกอยู่ในเมืองหลวงชื่อ Whitehorse ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ อีกพันกว่าๆก็อยู่ใน Dawson และที่เหลือก็กระจายกันอยู่ตามเมืองเล็กๆ เมืองละสองสามร้อยคน (ข้อมูลอ้างอิง) การที่ประชากรน้อยนั้นเพราะที่นี่นั้นขึ้นชื่อเรื่องความหนาวมากครับ นับว่าเป็นบริเวณที่หนาวติดอันดับต้นๆของทวีปอเมริกาเลยทีเดียว
สิ่งเดียวที่ดึงดูดให้ผมดั้นด้นไปเยือน Tombstone ก็คือภูเขารูปทรงแปลกตา ผมเห็นภูเขารูปนี้ครั้งแรกจากรูปของ Marc Adamus และช่างภาพดังๆอีกหลายคน แต่พอได้เห็นที่ตั้งก็ถึงกับต้องผงะ เพราะมันเดินทางไกลเหลือเกิน ว่ากันง่ายๆ ถ้าคุณตั้งต้นจากเมืองใหญ่ทางตะวันตกของแคนาดาอย่าง Vancouver (รหัสสนามบิน YVR) ก็ต้องบินไปอีกราวๆสามชั่วโมงไปยัง Whitehorse (รหัสสนามบิน YXY) จากนั้นจะต่อเครื่องไป Dawsone (ตั๋วแพงมาก) หรือขับรถราวๆ 550km ขึ้นไปยัง Dawson City เมืองใหญ่สุดทางตอนกลางของรัฐ จากนั้นก็ขับรถไปบนถนนลูกรังที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดของโลกอย่าง Dempster Highway แต่เราไม่ต้องขับไปตลอด 737km ของเส้นทางนะครับ ขับไปแค่ระยะทางราวๆ 70 กิโลเมตรก็จะเข้าเขตภูเขาซึ่งอยู่ใน Tombstone Territorial Park แล้ว ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมไม่เรียกเป็น Provincial Park (อุทยานประจำจังหวัด) แทน จากนั้น จะมีสองทางเลือกเพื่อเข้าไปถึง Talus Lake ซึ่งเป็นเป้าหมายของช่างภาพส่วนมาก อยู่ใจกลางของ Tombstone เลยทีเดียว ทางเลือกแรกคือเดิน 16 km (ไปกลับ 32km) ลัดเลาะลำธาร และตัดข้ามสันเขาสุดโหดที่ชื่อว่า Glissade Pass จากนั้นเดินเลาะผ่าน Divide Lake เรื่อยไปจนถึง Talus Lake ไอ้ Glissade Pass นี่มันโหดมากๆในเรื่องของความชันครับ ชันมากๆขนาดที่ว่าเวลาคุณเดินลงเขา เมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะไม่เห็น trail เลย ทั้งหมดนี้คุณต้องแบกสัมภาระทั้งหมดด้วยตัวเอง ไม่มีลูกหาบช่วยเหลือเหมือนการเดินป่าในบ้านเรานะครับ
การตั้งแคมป์ในอุทยานต้องจอง permit ก่อนนะครับ สามารถจองออนไลน์ได้ที่เวบ https://yukon.goingtocamp.com/ โดยตรงเลย สะดวกมากๆ และหนึ่งวันล่วงหน้าก่อนเดินทางจะต้องเข้าไปอบรมและทราบระเบียบของอุทยาน ฉะนั้นต้องแพลนให้มาถึง Dawson City ล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าไปใน Tombstone อย่างน้อยหนึ่งวันนะครับ นอกจาก permit แล้ว เจ้าหน้าที่จะให้เราเช่า bear vault หรือกระป๋องไว้ใส่อาหารสำหรับกันหมีเปิดได้ เพราะว่าทั้งหมดในบริเวณนี้เป็นบริเวณหากินของหมี Grizzly นั่นเองครับ มันคงดูไม่ดีเลยถ้าหมีย่องเข้ามาแอบหาอาหารแถวๆเตนท์เรา
ส่วนผมเหรอครับ มั่นใจว่าผมไม่สามารถแบกเตนท์ อาหาร อุปกรณ์กล้อง และสัมภาระอื่นๆทั้งหมดเพื่อข้ามผ่าน Glissade Pass ได้ ผมจึงเลือกตัวเลือกที่สองคือบินเข้าไปครับ ผมใช้บริการของ Trans North Helicopter ซึ่งให้บริการทั่วทั้งรัฐ Yukon เลย ค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับจำนวนคนครับ เขาให้เหมาเป็นเที่ยวๆไป คิดชั่วโมงละ $2000 ครับ ถ้าจับกลุ่มไปได้เต็มลำก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลงมากครับ วันที่ผมเลือกบินเข้านั้นโชคดีที่อากาศดีสุดๆ นักบินก็เลยแถมทริปพิเศษ ก่อนบินไปลงที่ Talus lake แกบินพาชมทะเลสาบและภูเขารอบๆอีกด้วย มีหลายๆจุดที่ต้องเดินไกลมากๆ แต่ผมก็มีโอกาสได้สัมผัสเพราะโปรโมชั่นพิเศษของนักบินนี่แหละครับ เราแอบพูดกันติดตลกว่าสงสัยลุงแกอยากชมวิว เพราะวันนี้อากาศดีมากๆ
ช่วงเวลาที่ผมไป ผมเลือกต้นเดือนกันยายน ซึ่งปกติจะเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสีพอดี จะได้เห็นทุ่งหญ้าทุนดราทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีแดงสด แต่ผมโชคไม่ดี ปีนี้หนาวเร็วมาก แม้ว่า Tombsstone Interpretive Center ซึ่งเป็น Visitor Center ที่อยู่ด้านนอกโซนภูเขาหลัก ก็มีสีแดงสวยงามแล้ว แต่ด้านในนั้นเลยพีคไปแล้ว เพียงแค่คืนวันแรกที่ผมไป ก็เจอกับหน้าหนาวของจริง ขนาดตอนเช้าที่นั่งเฮลิคอปเตอร์เข้า อากาศยังดีอยู่เลย แต่คืนนั้นพายุหิมะหนักมากๆ ตกติดต่อกัน 24 ชั่วโมงไม่มีหยุด เรียกได้ว่าผมไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากอยู่ในเตนท์ และเดินไปทำกับข้าวกินที่ cooking shelter แล้วเดินกลับมาหลบลมและหิมะในเตนท์เท่านั้น
แม้ว่าพายุมันจะโหดขนาดไหน แต่บรรยากาศหลังพายุพ้นผ่านไปมันสวยงามจริงครับ
ถึงบางคืนจะหิมะไม่ตก แต่มันก็หนาวสุดขั้ว ผมไม่มีที่วัดอุณหภูมิอยู่กับตัว แต่จากประสบการณ์ในที่หนาวๆ มั่นใจว่าต่ำกว่า -15C แน่ๆ เพราะผมแทบนอนสั่นทั้งคืนเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดคงเป็นช่วงเวลากลางวันที่แดดออกนั่นเองครับ 555
จุดถ่ายภาพหลักๆของเราก็อยู่ที่ Divide Lake และ Talus Lake ตัวผมเองนั้นไม่ได้เดินไป Divide Lake กับเขาด้วย หลักๆก็จะมีแต่รูปจากรอบๆ Talus lake และมีโอกาสได้เดินไปที่ริมแม่น้ำครับ
นอกจากภูเขารูปร่างแปลกตา ยิ่งใหญ่แล้ว อีกหนึ่งเหตุผลที่ผมอยากมา Tombstone ก็คือหวังว่าจะมีโอกาสได้ชมแสงเหนือครับ ที่ Tombstone นี้อยู่ในละติจูดที่สูงเพียงพอที่จะเห็นแสงเหนือได้ (ระดับเดียวกับเมือง Fairbanks ในรัฐอลาสกา) และผมก็ได้เห็นแสงเหนือแบบเต็มๆตาหนึ่งคืน นับเป็นแสงเหนือที่แรงมากๆที่ผมเห็นในรอบปีนี้เลย แรงพอๆกับที่ไอซ์แลนด์ จำได้เลยว่าคืนนั้นเป็นคืนแรกที่ฟ้าใส ก่อนหน้านั้นเจอพายุหิมะหนักๆติดๆกัน ก็ผลัดเวรกันตื่น ตั้งนาฬิกาปลุกสลับกันคนละครึ่งชั่วโมง และตอนเที่ยงคืนครึ่งของวันนั้น แสงเหนือมันก็มาจริงๆครับ ผมยังจำวินาทีที่โผล่หน้าออกมานอกเตนท์แล้วเห็นแสงสีเขียวเต้นระบำไปทั่วทั้งฟ้าได้เลย ผมตะโกนไม่หยุด ปลุกทุกคนในเตนท์รอบๆ ต้องปลุกเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะครับ เพราะมีเพื่อนคนนึงที่ไปด้วยกันเป็นคนสิงคโปร์ 555 พอมันออกมานอกเตนท์ จำได้คร่าวๆเลยว่าคำแรกของมันคือ
“Holy Fuck”
คนไทยก็อุทานเป็นคำหยาบภาษาไทย ขอเซนเซอร์มาไว้ตรงนี้นะครับ 555 คืนนั้นถ่ายกันจนถึงตีสาม ถ้าไม่หมดแรง ก็คงโดนความหนาวเกาะเข้าถึงกระดูกไปตามๆกัน
ตามแพลนเดิม ผมจะแคมป์อยู่ใน park หกวัน ห้าคืน แต่ปรากฏว่าผ่านไปวันที่สามเราเริ่มไม่ไหวกันแล้วครับ อากาศมันหนาวมากๆ ขนาดต้มน้ำร้อนเดือดปุดๆ ตั้งทิ้งไว้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เย็นเสียแล้ว เฮลิคอปเตอร์ที่ติดต่อไว้จะมารับในวันที่หก หากอยากกลับก่อนก็ต้องหาจังหวะที่นักบินจะเข้ามาส่งนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ แต่ล่วงเลยไปวันที่สามแล้วก็ไม่เห็นมีใครมา พวกผมคนไทยเจ็ดคนเป็นมนุษย์กลุ่มเดียวที่นอนอยู่ใน Talus lake โชคดีที่วันที่สี่ นักบินเขาบินมาส่งช่างภาพอีกกลุ่มนึงซึ่งมา workshop กับ Marc Adamus พอดี (งานของ Marc สวยมากๆครับ ผมยกให้เป็นช่างภาพแลนด์สเคปที่เก่งที่สุดในโลกเลย) ผมเลยได้จังหวะขอถ่ายรูปหมู่กับ Marc เอ้ยไม่ใช่ ขอติดต่อกับนักบิน เพื่อเลื่อนตารางบินของเราให้เร็วขึ้นหนึ่งวัน มาบินออกวันศุกร์แทน นัดกันว่า สิบเอ็ดโมง คุณลุงนักบินจะมารับ คุณลุงเคยบอกไว้ว่า แม้อากาศจะแย่ ก็ขอให้รอ ฮ.นั้นบินได้แม้ในสภาพพายุฝน หิมะตก แต่ถ้าหมอกลงจัดนั้นคงต้องเลื่อนออกไป ลุงย้ำอีกว่า ไม่ต้องกังวล หากมีอะไรเกิดขึ้น ก็อดทนรอ ลุงจะหาทางมาแน่นอน (ฉากนี้ลุงดูเท่ขึ้นมา 24.39% เลยทีเดียว ฮาๆๆ)
เช้าวันศุกร์ เราก็รีบกินข้าว เก็บของกันตั้งแต่เก้าโมงเช้าครับ สิบโมงครึ่งก็ลุ้นๆแล้วว่าแกจะมาไหม ใจก็เต้นตุ้มๆต่อมๆ เพราะกว่าลุงแกจะมาก็เกือบๆ 11.15 แน่ะครับ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี วันที่บินเข้า อากาศดีอย่างไร วันที่บินออกอากาศก็ดีอย่างนั้น อากาศที่นี่แปรปรวนมากจริงๆ วันนึงสามารถเจอทั้งแดดออก ลมแรง หิมะตก ฟ้าครึ้ม แทบจะทุกรูปแบบ แต่มีรูปแบบเดียวที่เหมือนกันคือ อุณหภูมิแม่งหนาวสุดขั้วครับ
มีคลิปตอนนั่ง ฮ. มาฝากกันด้วย แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะตกคนละ $500 แต่ผมว่ามันคุ้มมากๆเลยล่ะครับ แค่วิวที่ได้ชมก็สวยกินขาดแล้ว (แต่ต้องเจออากาศดีๆก่อนนะ)
ตอน ฮ. บินผ่านสันเขา มันเสียวมากกกก
ทริปนี้เบ็ดเสร็จแล้วประมาณคนละ $1600 ครับ (คิดรวมค่าตั๋วเครื่องบินจากแอลเอ) ค่าใช้จ่ายหลักๆคือค่าเฮลิคอปเตอร์ คนละ $500 ตั๋วเครื่องบิน LAX-YXY คนละ $500 ค่าเช่ารถ ค่าโรงแรม ค่าน้ำมัน ค่าอาหารที่ร้านอาหาร (เรากินหรูไปหลายมื้อ) หารออกมาคนละ $300 และอีก $150 เป็นค่าใช้จ่ายในช่วงที่แคมป์ครับ เป็นค่าอาหาร ค่าแก๊ส ค่า permit และจิปาถะอื่นๆครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ