First Class ของ Etihad นับว่าเป็นเคบินที่ดีและหรูเป็นลำดับต้นๆในโลก ผมว่าด้วยความหรูนั้นผมยกให้ Etihad ชนะเลิศ Etihad เขาไม่เรียก First Class ว่าเป็น Seat หรือ Suite แต่เรียกยกระดับให้มันเป็น Apartment และมันใหญ่สมชื่อจริงๆ และในรีวิวนี้เราจะพาไปสัมผัส First Class Apartment กันครับ
คำเตือน รูปเยอะมาก โหลดนานสักหน่อยครับ
Etihad First Class Apartment
เที่ยวบิน EY19
AUH-LHR
เวลา 8.05 – 12.05 น. (8 ชั่วโมง)
Aircraft Airbus A380-800
Registration A6-APA
Age 4.5 years
Seat 3A, 4A
ค่าใช้จ่าย 40,000 ไมล์จาก Asiana Club + ค่าธรรมเนียม 6690 บาท
วันนี้จะพาไปสัมผัสประสบการณ์บน First Class ที่ดีเยี่ยม และอลังการที่สุดที่ผมเคยนั่งมาครับ โดยสายการบิน Etihad ซึ่งเป็นสายการบินของตะวันออกกลาง สำหรับ First Class ของ Etihad นั้นมี 2 แบบ คือแบบที่นั่งทั่วไป เช่นที่อยู่บนเครื่อง Boeing 777-300 และ 787 dreamliner และแบบที่ผมพาไปดูในครั้งนี้คือแบบ First Class Apartment ซึ่งอยู่ในเครื่อง Airbus 380-800 ที่มีอยู่แค่เพียง 10 ลำเท่านั้นครับ ทั้งสิบลำนี้มีเส้นทางจากอาบูดาบี (AUH) ไปยัง 4 เมืองหลักคือนิวยอร์ค (JFK) ลอนดอน ปารีส และซิดนีย์ และกลางปี 2562 นี้กำลังจะนำไปบินในเส้นทางเกาหลี โซล-อินชอน โดยลดเที่ยวบินจากเส้นทางซิดนีย์ลง และเส้นทางที่มี Airbus 380 บินบ่อยที่สุดก็คือลอนดอน ซึ่งมี 3 เที่ยวบินต่อวัน และเป็น Airbus 380 ทั้งหมดเลยครับ
สำหรับค่าเสียหายของเที่ยวบินนี้ ถือว่าถูกมาก ผมใช้ไมล์ของ Asiana แลกมาครับ เรทอยู่ที่ 40,000 ไมล์ และค่าธรรมเนียมอีก 6690 บาท ค่าธรรมเนียมอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับค่าเงินบาท และราคาน้ำมันในช่วงนั้นๆ สำหรับผมแล้ว นี่คือว่าโคตรคุ้มมากๆ เพียงแค่ไม่กี่หมื่นไมล์กับ First Class ชั้นยอดของโลกเลยทีเดียว ครั้งก่อนผมแลก 40,000 ไมล์จาก United เพื่อแลกเส้นทางกรุงเทพ-ซิดนีย์ก็ว่าคุ้มแล้ว แต่ครั้งนี้ผมว่ามันคุ้มกว่านั้นอีกครับ ที่แลกได้เพราะ Asiana กับ Etihad นั้นเป็น partner กันครับ ถือว่าเป็นข้อดีของการเก็บไมล์กับ Asiana ซึ่งอยู่ในเครือ Star Alliance และหากใครมีไมล์ของ American Airlines ก็สามารถแลกได้เช่นกันครับ ใช้ 40,000 ไมล์เท่ากัน
ออกตัวก่อนเลยว่าเราสองคนชอบเดินทาง เราก็ไม่ได้เป็นคนมีฐานะอะไรขนาดที่สามารถจ่ายเงินเต็มเพื่อซื้อตั๋ว Business Class ด้วยซ้ำ ผมเป็น Aviation Geek คนนึง ชอบอ่านรีวิว ชอบติดตามข่าวสารการบิน ข่าวเครื่องบิน ตื่นเต้นที่ได้เห็นเครื่องบินรุ่นใหม่ๆ และการได้เดินทางบน First Class นั้นก็เป็นความใฝ่ฝันที่อยากลองมานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อศึกษาหาข้อมูลไปเรื่อยๆก็เจอหนทางที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้โดยค่าใช้จ่ายถูกมากๆ ผมก็เริ่มเก็บไมล์มาเรื่อยๆ และเส้นทางที่ผมแลกมานั้นใช้แค่ 40,000 ไมล์ ก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลยครับ เวลาเดินทางก็วางแผนเก็บไมล์อย่างเป็นระบบ ไม่เก็บไมล์กระจัดกระจาย วางแผนซื้อตั๋วให้ได้ class ที่ได้ไมล์คุ้มค่าที่สุดเมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไป หรือเมื่อมีโปรโมชั่นไมล์พิเศษ เป็นต้น อย่างไมล์ที่แลก Etihad First Class Apartment มานี้ก็เก็บมาประมาณ 3-4 ปีครับ นำไมล์ของสองคนรวมกันด้วย Family Mileage Plan ของ Asiana โดยเป็นไมล์บินทั้งหมด ในขณะที่รีวิว First Class ของการบินไทยครั้งก่อนนั้นใช้ไมล์ United ซึ่งผมได้จากบัตรเครดิตเป็นหลัก ซึ่งที่อเมริกามักมีโปรแจก 80,000-100,000 ไมล์เมื่อเปิดบัตรเครดิตใหม่อยู่บ่อยๆ คุ้มมากๆ
ที่นั่งของ Etihad First Class Apartment
ถ้าหากต้องจองตั๋วจริงๆ เที่ยวบินนี้จะอยู่ที่ราวๆ 180,000 บาทต่อคนครับ คิดจากราคาตั๋วไปกลับหารสอง (ซึ่งถ้าเป็นตั๋วขาเดียวก็ 234,000 บาท) ดังนั้นความคุ้มค่าของไมล์นี้ก็จะเท่ากับ 4.5 บาทต่อไมล์ที่ใช้ ถือว่าคุ้มมากๆ
นอกจากนี้ Etihad ยังมีชั้นที่สูงกว่า First Class นั่นคือ Residence นั่นเองครับ ซึ่งใน Residence อยู่ตรงที่นั่ง 1A นั้นจะมีแยกเป็น 3 ห้องคือ ห้องนั่งเล่นและทานข้าว ห้องน้ำ และห้องนอน ทั้งหมดนี้มีเป็นของตนเองทั้งหมดเลย ถือว่าเป็นระดับความหรูแบบสูงสุดที่จะมีได้ในสายการบินที่ให้บริการอยู่ทุกวันนี้ครับ แต่ Residence นั้นต้องใช้ไมล์ของ Etihad แลกเท่านั้นครับ หรือจะซื้อตั๋วก็ได้นะครับ ราคาสุดโหดที่ 434,000 บาทต่อขา หากหารด้วย 8 ชั่วโมงก็จะตก 900 บาทต่อนาทีที่คุณนั่งไปครับ คำนวณแล้วก็ขนลุกซู่ 555
ความหรูหราของ Etihad นั้นเริ่มตั้งแต่ที่บ้านเลยครับ เพราะ Etihad จะมีรถลีมูซีนมารับถึงบ้าน ซึ่งสิทธิ์นี้จะได้รับก็ต่อเมื่อคุณจ่ายเงินซื้อตั๋ว First Class ครับ ฉะนั้นสำหรับผมก็ข้ามไปครับ 55 เราแลกไมล์มา เมื่อก่อนเคยมีสิทธินี้ให้ผู้โดยสาร First ทุกคน แต่เดี๋ยวนี้ทางสายการบินปรับลดงบประมาณ เลยตัดบางอย่างออกสำหรับตั๋วแลกไมล์ครับ
ผมเดินทางจากกรุงเทพไปยังอาบูดาบีก่อน ผมจองชั้นประหยัดไว้ ซึ่งคงไม่ต้องมีอะไรรีวิวมากนัก สำหรับที่อาบูดาบีนั้นก็จะมี Lounge ของ First Class แยกมาเฉพาะ อยู่ตรงใกล้กับ X-ray ของ Terminal 3 เรียกได้ว่าผ่านออกมาก็จะเจอเลย เพียงแค่ทางเข้าก็ดูน่าสนใจมากๆแล้วครับ ทางเข้านี้จะยังไม่ใช่ตัว Lounge นะครับ เพราะจะต้องขึ้นลิฟต์ไปด้านบน ซึ่งพื้นที่ด้านบนนั้นกว้างขวางอย่างมาก
จากที่คุณอู๋ spin9 รีวิวมา Lounge นี้เพิ่งเปิดตั้งแต่ปี 2016 ก็ถือว่าไม่นานมาก และตัว Lounge แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆคือ ห้องทานอาหาร ห้องบริเวณนั่งพักผ่อน (มี relaxing room สำหรับไว้ผ่อนคลายอีกด้วย) ห้องสปา ซึ่งจะมีที่อาบน้ำอยู่ในบริเวณนี้ ห้องลองซิการ์ อันหลังนี้ฟังดูน่าสนใจ แต่ผมไม่ได้เข้าไปนะครับ 555 เป็นที่น่าเสียดายว่าส่วนที่ให้บริการตัดผมและโกนหนวดนั้นไม่มีให้บริการแล้ว ฟังไม่ผิดครับ ที่นี่เคยมีบริการ Barber & Salon จริงๆครับ นับว่าเป็นความสุดๆของ Lounge จริงๆ ผมอุตส่าห์เตรียมไม่ตัดผมมาหลายเดือนเพื่อจะไปตัดผมที่ Lounge เลยนะครับ แต่เสียดายไม่มีโอกาสได้ลองว่าทรงอาหรับจะออกมาเป็นอย่างไร 555
ผู้โดยสาร First Class จะได้นวดสปาฟรี 15 นาทีครับ ซึ่ง surprise มากที่พนักงานในสปาก็เป็นคนไทยนั่นเอง หากต้องการนวดนานขึ้นเป็น 1 ชั่วโมงสามารถจ่ายเงินเพิ่มได้ครับ ประมาณแปดร้อยบาท ซึ่งก็เป็นราคาที่ไม่สูงเกินไปนัก
ซ้ายมือเป็นบริเวณนั่งพักทั่วไปใน Lounge ซึ่งมีเก้าอีกมากมายเพียงพอ นอกจากนี้ยังมีห้อง Relaxing room มีเก้าอี้สี่ตัว สามารถนอนเอนได้ เงียบสงบ มีเพลงคลอเบาๆ แต่แสงไฟบนจอสว่างไปหน่อย 555 ถ้าจะมานอนจริงๆต้องมีผ้าปิดตาครับ ช่วงดึกๆ ไม่มีผู้โดยสารท่านอื่นมาใช้บริการครับ ซึ่งทั้งผ้าปิดตา ผ้าห่ม สามารถขอทาง Lounge ได้เลย ผมกับเนมาถึงที่อาบูดาบีตอนเที่ยงคืน และรอต่อเครื่องแปดชั่วโมง เราแลกเที่ยวบินได้ช่วงเช้าครับ เที่ยวบินที่มี award seat เหลือสองที่จะมีไม่ค่อยเยอะครับ
สำหรับบริเวณทานอาหารของ First Class Lounge นั้นจะเป็นโต๊ะที่จัดวางไว้อย่างดี และอาหารจะทำสดใหม่ทุกจาน ดีไม่แพ้ระดับ Fine Dining เลยครับ ของผมได้ลองเมนูมื้อเย็น และมื้อเช้า ในภาพด้านล่างนี้จะเป็นเมนูมื้อเย็นครับ อาหารโหดขนาดไหนดูที่เมนูได้เลยครับ มีทั้งแกะ ปลาค็อด และ Tenderloin ส่วนผมก็ลองเนื้อมาทาน 1 จานครับ แค่หน้าตาก็ดูดีกินขาด ยกให้เป็น First Class Lounge ที่ความเว่อวังอลังการเป็นอันดับหนึ่งเลย
ได้เวลา boarding แล้ว ตัดข้ามมาที่บนเครื่องบินกันเลย ผู้โดยสาร First Class และ Residence จะได้ขึ้นเครื่องก่อน โดยลำที่ผมนั่งนั้นไม่มีผู้โดยสาร Residence ครับ เราจึงได้ขึ้นเครื่องเป็นกลุ่มแรก โดยที่นั่งของ First Class และ Business Class จะอยู่บนชั้นสองของเครื่องบินครับ
และนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของ Airbus 380 ครับ พอได้ข่าวว่าจะไม่มีผลิตอีกแล้วก็น่าใจหาย หมดยุคของ Superjumbo Jet แล้วจริงๆ
ตัดมาที่บนเครื่องเลยครับ หลังจากที่ลูกเรือตรวจสอบ Boarding pass และนำเรามาที่ First Class Cabin ก็ตะลึงกับความเว่อวังอลังการของสายการบินนี้ ลำตัวของเครื่อง Airbus 380 ว่ากว้างแล้ว Etihad ยังใจกล้าแบ่งที่นั่งเพียงแค่ 2 แถว มีแค่ทางเดินตรงกลางเท่านั้น นี่เป็นการแบ่งที่นั่งที่ให้ความกว้างได้โหดมากๆๆๆ นับว่าเป็นสายการบินแรกของโลกที่กล้าทุ่มเทจัดความอลังการให้ First Class แบบขั้นสุดๆ ปัจจุบันมีเพียงสองสายการบินในโลกคือ Etihad และ Singapore Airlines ที่แบ่งที่นั่ง First Class cabin ในลักษณะสองแถวหนึ่งทางเดินแบบนี้ครับ โดยของ Singapore Airlines ก็เป็นที่นั่งบนเครื่อง Airbus 380 แบบใหม่ล่าสุดที่เพิ่งประจำการเมื่อปี 2561 นี้เอง แต่ของ Etihad เค้าจัดโหดมาตั้งแต่ 5 ปีก่อนแล้ว ฮาๆ ส่วนสายการบินอื่นๆส่วนใหญ่จะมี 4 แถว 2 ทางเดินครับ เว้นแต่ First Class บนเครื่อง 747 ของบางสายการบินที่อาจจะมี 2-4 แถวเพราะอยู่ตรงส่วนหัวของเครื่องบิน
ตัวทางเดินกลางก็จัดว่ากว้างพอสมควร ทุกห้องทั้งซ้ายละขวาจะมีผนังกั้นที่สูงเกือบถึงคอ ให้ความเป็นส่วนตัวสูงมาก และการดีไซน์นั้นเรียบง่ายและหรู ผมชอบมากๆ และก็ตามชื่อของ Cabin ครับ นี่ไม่ใช่ First Class ธรรมดา แต่มันคือระดับ First Class Apartment ดังนั้นจะเราจะไม่เรียกที่นั่ง (Seat) แต่มันคือ Apartment อย่างเช่น Apartment 4A ดังภาพครับ เรียกได้ว่าข่มคู่แข่งไปได้เยอะทีเดียว 55
ผมกับเนนั่งที่ Apartment 3A และ 4A ซึ่งเป็นที่นั่งฝั่งซ้ายของเครื่องบิน ตัวที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง และเป็นหนึ่งในสองคู่ที่นั่งที่สามารถนำผนังกั้นลงมาได้ อีกคู่คือ 3K, 4K ครับ ถ้าเป็น 1K และแถวที่ 2 และ 5 ทั้งสองฝั่ง ตัวที่นั่งจะอยู่ริมทางเดินครับ แต่ก็มีประตูปิดได้เพื่อความเป็นส่วนตัว ส่วนที่นั่ง 1A จะเป็น Residence ครับ และผมได้ศึกษามาก่อนแล้ว เลยจอง 3A และ 4A ตั้งแต่แลกไมล์เสร็จเลยครับ เหตุผลที่เลือกนั่งฝั่งซ้ายก็เพราะจะได้ไม่โดนแดด เนื่องจากเที่ยวบินเป็นรอบเช้า แดดมาจากทางทิศตะวันออก เที่ยวบินไปยังลอนดอน หากนั่งฝั่งขวาจะโดนแดดค่อนข้างมาก
ในภาพนี้ Apartment 3K และ 4K ได้ปิดประตูแล้ว แต่ Apartment ของผมเปิดประตูไว้อยู่ครับ และพอลูกเรือทราบว่าผมกับเนเดินทางด้วยกันเป็นคู่ ก็นำที่กั้นลงตั้งแต่แรก ก่อนเครื่องจะออกด้วยซ้ำไปครับ
เมื่อแบ่งที่นั่งเพียงสองแถว จึงทำให้ที่นั่งจากตรงกลางไปถึงหน้าต่างเป็นของเราทั้งหมด ซึ่งกว้างมากๆๆ ตรงนี้เราจะมีเบาะหนังยาวประมาณ 2 เมตรกว่าๆ ยาวจากทางเดินไปถึงหน้าต่าง และเบาะนี้จะสามารถกางเป็นเตียงนอนได้ครับ และมีเบาะที่นั่งหลัก กว้างมากๆ กว้างขนาดผู้หญิงตัวเล็กๆสามารถนั่งได้ 2 คนเลยครับ ทำจากหนังเช่นกัน แต่ตัวเก้าอี้นี้จะเอนได้ไม่มาก และจะไม่มีที่วางขายกขึ้นมาเหมือนในที่นั่งรูปแบบอื่นๆที่ตัวที่นั่งสามารถกางเป็นเตียงนอนได้ ก็คือ ถ้าจะนอน ก็ให้ไปนอนบนเตียงยาวนั่นเอง แต่ก็มีข้อเสียที่หลายคนพูดถึงคือ ถ้าอยากเอนหลังดูทีวี จะเอนไม่ได้มาก ถ้าแค่อยากเอนหลังดูทีวี ก็ต้องเลือกว่าจะเอนน้อยๆ หรือนอนราบไปเลย แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้อยากนอนราบเพื่อดูทีวีตลอดเวลา ซึ่งตรงนี้เป็นข้อจำกัดที่ที่นั่ง Etihad ให้ไม่ได้ครับ
อีกความเวอร์อย่างนึงคือ First Class จะมี Personal Chef ให้เราด้วย นอกเหนือไปจากลูกเรือปกติ ซึ่งเชฟนี้ก็จะคอยปรุงอาหารให้เราแบบสดๆบนเครื่อง ก่อนเครื่องจะออก เชฟก็จะมาแนะนำตัว แนะนำรายการอาหารบนเครื่อง รวมไปถึงเมนูพิเศษ และแนะนำไวน์หรือเครื่องดื่มให้เข้ากับอาหารเราอีกด้วย เป็นจุดที่ First Class ของ Etihad เหนือกว่าสายการบินอื่นๆแบบคนละระดับเลยครับ
เนื่องจากผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น welcome drink จึงเป็นน้ำเปล่า ถือว่านั่ง First Class ได้ไม่คุ้มเลย 5555 ส่วนเนรับเป็น Arabic Coffee ซึ่งเสิร์ฟมากับการูปทรงเอกลักษณ์ นอกจากนี้ลูกเรือก็เอาบัตรใช้อินเตอร์เนตบนเครื่องมาให้อีกด้วย แต่เล่นได้แค่ไม่เยอะมาก ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะ 50MB ซึ่งแป๊บเดียวก็หมดแล้ว นักธุรกิจที่ต้องการทำงานระหว่างที่อยู่บนเครื่องบินก็ไม่น่าจะพอครับ ซึ่งอินเตอร์เนตสามารถซื้อเพิ่มได้
มาดู Feature ต่างๆบนที่นั่งกันบ้างครับ เริ่มจาก Amenity Kit กันเลย
Amenity Kit ของ Etihad รุ่นล่าสุดนี้เพิ่งปรับเปลี่ยนใหม่ได้ไม่นาน เริ่มใช้ตอนเดือนสิงหาคมปีที่แล้วนี่เอง เปลี่ยนมาใช้เป็นของ Acqua di Parma แบรนด์ของอิตาลีครับ กระเป๋าหนังสีเหลือง สวยมากๆๆ นอกจากนี้ก็จะมีรองเท้าแตะใส่บนเครื่อง และชุดนอนสีดำครับ
ตัวที่นั่งก็จะมีลูกเล่นเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกินข้างตัวใหญ่อลังการ ซึ่งซ่อนอยู่ตรงที่วางแขนด้านริมหน้าต่าง
มีปลั้กไฟ สามารถเสียบ laptop ทำงานได้อย่างสะดวก
ด้านข้างที่นั่งจะมีรีโมททีวี มีหน้าจออยู่บนรีโมทด้วย สามารถแสดงผลคู่กับจอ หรือแสดงผลอื่นๆได้ และตรงหัวเตียงจะมีรีโมทอีกตัว สำหรับควบคุมทีวีตอนนอนครับ ใต้รีโมททีวีที่อยู่ข้างเก้าอี้ ก็จะมีช่องเสียบหูฟัง ช่องเสียบ USB สองช่อง และมีช่อง HDMI สำหรับฉายอะไรก็ได้ขึ้นจอด้วย เสียดายผมไม่ได้พกสาย HDMI ไปด้วย เลยไม่ได้ลองดูว่าจะฉายจอ laptop ขึ้นบนจอใหญ่ได้หรือเปล่านะครับ
ถัดลงมาก็จะเป็นแผงควบคุมที่นั่ง ก็จะเป็นการปรับเอนในแบบต่างๆ ควบคุมเตียงยาว และสามารถปิดเปิดม่านหน้าต่างได้อีกด้วย ซึ่งม่านหน้าต่างนี้เป็นระบบไฟฟ้าที่ผมชอบมากๆ สามารถปิดได้หลายระดับ
และแผงคุมม่านไฟฟ้านั้นก็จะอยู่ตรงข้างเตียงด้วย และตรงนี้ก็จะคุมการเปิดปิดไฟได้ด้วยครับ
ตรงที่วางแขนอีกด้าน เปิดมาจะเจอแผงควบคุม ซึ่งคุมได้หลายอย่างมากๆ ทั้งการเปิดปิดไฟ ม่าน มีเบาะนวดด้วย!!! Advance มากครับ 555 และยังมีการควบคุมความนุ่มของเบาะ ซึ่งใช้การเป่าลมและคลายลมออกให้เบาะยวบหรือแข็งขึ้น แปลกดี ไม่เคยเจอครับ ถือว่าลูกเล่นเยอะมากๆๆ
นอกจากนี้ด้านข้างที่นั่งยังมีที่เก็บของเล็กๆ และก็มี minibar เล็กๆอยู่ด้านล่างอีกที เนื่องจากชั้น First Class ไม่มีที่เก็บของเหนือศีรษะเพื่อความเปิดโล่ง หากมีกระเป๋า carry on ที่ไม่ใหญ่มาก สามารถเก็บไว้ใต้เบาะยาวได้ อย่างผมมีกระเป๋า F-stop Lotus ก็ใส่ได้พอดี ถ้าเป็นกระเป๋าใหญ่ อาจจะต้องฝากลูกเรือครับ
อีก Feature นึงที่สาวๆน่าจะชอบนั่นคือ กระจกแต่งหน้าส่วนตัวนั่นเองครับ เป็นกระจกที่มีไฟส่องให้ด้วย เพื่อการแต่งหน้าที่สมบูรณ์แบบ 555
ห้องน้ำของ First Class มี 2 ห้อง สำหรับผู้โดยสาร 9 คน ซึ่งเพียงพอมากๆ ห้องนึงจะใหญ่กว่า มีพื้นที่พอที่จะแต่งตัวได้สบาย และอีกห้องมีขนาดเล็กกว่า มีที่อาบน้ำอยู่บนเครื่องด้วยครับ เหนือชั้นมากกกกกก สายการบินต้องทุ่มขนาดไหนถึงขนน้ำมาให้ผู้โดยสารอาบบนเครื่อง การได้อาบน้ำบนเครื่องผมว่ามันคือขั้นสุดจริงๆครับ แต่เนื่องจากปริมาณน้ำมีจำกัด ผู้โดยสารแต่ละคนจะมีน้ำอาบได้ 5 นาที สามารถกดหยุดได้ ปรับอุณหภูมิได้ และมีตัวบอกเวลาว่าน้ำเหลือเยอะหรือยัง ผมว่าเพียงพอมากๆต่อการสระผมและอาบน้ำอย่างสบายๆ ผมทั้งอาบและสระผม ก็ยังใช้ไปแค่ 1/3 เองครับ ในเที่ยวบินผม ผมไม่เห็นมีผู้โดยสารท่านใดใช้บริการอาบน้ำเลย มีแต่ผมคนเดียวที่ขอลองสักหน่อย 55
มีเพียง 2 สายการบินบนโลกนี้ที่มีบริการอาบน้ำบนเครื่อง นั่นคือ Emirates และ Etihad ซึ่งให้บริการเฉพาะผู้โดยสาร First Class เท่านั้น และเฉพาะเครื่อง Airbus 380 เท่านั้นด้วยครับ
ทั้งสบู่ แขมพู และเครื่องใช้ต่างๆในห้องน้ำ เป็นของ Acqua di Parma ทั้งหมดครับ กลิ่นหอมดีมากๆ
นอกจากนี้ในระหว่างโซน First Apartment กับ Business Class ยังมีพื้นที่เป็น Lounge เล็กๆให้ผู้โดยสารสามารถมานั่งคุยกันได้ แสงค่อนข้างมืดหน่อย ใช้มือถือถ่าย ไฟล์เลยไม่ค่อยดีนัก
มาถึง Dining service กันบ้าง เนื่องจากมี Personal Chef ให้บน First Class ดังนั้นอาหารของ Etihad ย่อมจัดเต็มแน่นอน เสียดายผมลืมถ่ายเมนูหลักมาครับ (มัวแต่ห่วงกิน 55) แต่ได้ถ่ายเมนูในส่วน Lounge and Grill มาให้ ซึ่งอันนี้เราจะสามารถ design ได้เองว่าอยากได้เนื้ออะไร ซอสอะไร และเครื่องเคียงเป็นอะไร และยังมี Chef Special ซึ่งในเที่ยวบินนี้ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นเนื้อ Filet Mignon ครับ สามารถเลือกความสุกได้
เนื่องจากผมไม่ได้ถ่ายเมนูบนเที่ยวบินนี้มา ผมเลยไป download เมนูที่อยู่ในเวบ ซึ่งผู้โดยสารสามารถตรวจสอบเมนูบนเที่ยวบินของแต่ละวันได้ในเวบเลยครับ เป็นระบบดีมากๆ
เมนู Lounge and Grill
คอร์สอาหารจะเริ่มต้นด้วย Caviar ซึ่งใช้ของ Russian Oscietra กระปุกนี้ก็น่าจะเกือบๆ 4-5000 บาทแล้วครับ และมีอาหารเรียกน้ำย่อย ซึ่งผมขอรับเป็น Salmon ครับ ขอมาคู่กับ Lobster Rolls เลย (อยู่ใน Lounge and Grill)
ผมย้ายมากินตรงที่นั่งของเน (Apartment 3A) โดยผมนั่งตรงโซฟายาว และขอให้ลูกเรือจัดเป็น Dining Table บนความสูง 38000 ฟุต
อาหาร เราสองคนรับเป็นปลาค็อด และ Chef Special เป็นสเต็กครับ ตัวสเต็กทำออกมาสุกไปหน่อย ไม่ค่อยประทับใจ ส่วนปลาถือว่าดีทีเดียวครับ ที่ผมชอบมากๆคงเป็นเรื่องของการจัดจาน ทำได้ดีมากๆ สมกับที่มี On-board Chef อยู่บนเครื่อง และจานของสายการบินนี้ ลายเรียบสวย ดูดีมาก
ของหวานปิดท้ายเป็น Pistachio Cake และ Raspberry Crostata ซึ่งเค้กผมกินแล้วไม่ค่อยมีรสถั่วพิสตาชิโอเท่าไหร่ 55 แต่ด้วย Presentation ถือว่าสอบผ่านไปสบายๆครับ จบถึงของหวานนี่ก็กินกันจนถึงคอหอยแล้ว
มาถึงอีกหนึ่งไฮไลต์ครับ กินแล้วก็ต้องนอนใช่มั้ยครับ แต่กินแล้วอย่านอนทันทีนะครับ เพราะจะเป็นกรดไหลย้อน ซึ่งตอนนอน ทางลูกเรือจะมาปูเตียงให้ครับ
และเนื่องจากที่กั้นระหว่าง Apartment 3A และ 4A สามารถลดลงได้ เราก็จะได้เตียงคู่แบบนี้ครับ อลังมากกกกกก แม้จะไม่ได้เป็นเตียงคู่แบบ full-bed เหมือนของ Singapore Airlines First Class หรือ Qatar Airlines Qsuite Business Class ก็ตาม ยังมีที่กั้นอยู่นิดหน่อยครับ แต่แค่นี้ผมก็ happy มากๆแล้ว
ชุดนอนที่ได้เป็นของ A Friend of Mine ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อเหมือนกันครับ
ผู้โดยสารจะได้รับแจก Fast Track สำหรับผ่านตม.แบบช่องด่วนๆที่ลอนดอนด้วยครับ ไม่ต้องไปต่อคิว และที่สายพานรับกระเป๋าก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยเอากระเป๋าของเราออกมาให้ ตอนแรกผมไม่ทราบ ไปรอตรงสายพานตั้งนานก็ไม่เห็นกระเป๋าของตัวเองออกมา 55
สรุป
Etihad เป็นสายการบินที่จัดเต็มในทุกสิ่ง ทั้งความหรู ทั้ง Feature ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวที่นั่งที่ใหญ่มากๆ มีที่อาบน้ำ และ Personal Chef ซึ่งสายการบินอื่นไม่มี แม้ว่าช่วงหลังๆทางสายการบินจะมีการตัด feature บางอย่างเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ก็ First Class ก็ยังคงเป็นอันดับต้นๆของโลกในเรื่องความหรูหราอลังการสไตล์ประเทศเศรษฐีน้ำมันอาหรับครับ
แค่ 40,000 ไมล์ บวกค่าธรรมเนียมนิดหน่อย กับ Etihad First Class Apartment คุ้มมากครับ คุ้มจนไม่รู้จะเรียกว่าคุ้มค่ายังไงแล้ว ถ้าเก็บไมล์กับ Asiana หรือ American อยู่แล้ว ก็เตรียมเก็บให้ครบถึงเป้าหมาย ผลตอบแทนมันคุ้มค่ากว่ามาก อดใจไว้ไม่รีบไปแลกตั๋ว Economy เสียก่อน เพราะมูลค่าที่แลก First Class มันได้มูลค่าตอบแทนมาเยอะกว่าหลายเท่าตัวครับ
แต่เรื่องของการบริการ ผมก็ยังยกให้การบินไทยดีกว่าเรื่องความเอาใจใส่ การดูแล ลูกเรือของ First Class การบินไทยมีประสบการณ์สูงมากๆ และดูแลดีมากๆ ซึ่ง ยังสู้ตรงจุดนี้ไม่ได้ครับ ส่วนที่เหลือนั้น Etihad ชนะขาด ก็เข้าใจได้ครับ ทางสายการบินนั้นทุนหนากว่า และลงทุนเยอะกว่ามาก
ขอจบรีวิวแต่เพียงเท่านี้ครับ ใครมีประสบการณ์ได้นั่ง Etihad First Class มาแบ่งปันกันได้นะครับ หากผมมีโอกาสได้นั่งอะไรที่เป็นบุญหลัง (และไม่เมื่อยก้น) อีกจะมาเล่าสู่กันฟังครับ สวัสดีครับ
ทิ้งถ่ายด้วยภาพคู่บนเครื่อง ก่อนลงจากเครื่อง และภาพ Etihad Airbus 380 ลำยักษ์ที่เรานั่งมา กับท้องฟ้าเทาๆที่ลอนดอน
You must be logged in to post a comment.